เดือนนี้ดิฉันมี “ไร๊ทเท่อร์ส บล๊อค” (writers’ block) คือ นึกหัวข้อไม่ออกว่าจะเขียนอะไร เนื่องจากสถานการณ์โลกที่ยุ่งเหยิง ข่าวอัฟกานิสถาน ข่าวไวรัสใหม่ “เดลต้า แวเรี่ยนซ” (Delta Variance) และดิฉันยังเผชิญความเศร้า คือ การตายจาก ดิฉันต้องค่อยตั้งสติ แยกประเด็นออกมาทีละเปราะและ deal กับมัน และได้คำสอนแม่ที่นำมาใช้
ข่าวอัฟกานิสถาน
หลังจากประธานาธิบดี โจ ไบเดน ประกาศจะถอนทัพอเมริกันทั้งหมดออกจากประเทศอัฟกานิสถานภายใน 31 สิงหานี้ ทุกครั้งที่ดิฉันเปิดอีเมล์ก็จะเห็นแต่ข่าวอัฟกานิสถานและรูปหน้าสกรีนที่สะเทือนใจ หลังเหตุการณ์ 9/11ปี ค.ศ. 2001 ที่ผู้ก่อการร้ายกลุ่ม อัล ไคด้า (al Qaeda) จากอัฟกานิสถาน ไฮแจ๊คเครื่องบินและบินชนถล่มตึก “เวิร์ลดเทรด” ในรัฐนิวยอร์ค รัฐบาล “จ๊อร์จ บุช” ประกาศส่งกองทัพอเมริกันเข้าไปประจำประเทศอัฟกานิสถาน เพื่อกวาดผู้ก่อการร้าย 10 ปีให้หลังปี 2011 รัฐบาล “บาแร็ค โอบาม่า” ทหารอเมริกันได้ฆ่า”โอซาม่า บิน ลาเดน” (Osama Bin Laden) สำเร็จ โอบาม่าประกาศวางแผนถอนกองทัพทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถานภายใน 10 ปี กันยาปี 2021 นี้ครบรอบ 20 ปีพอดี ป.ธ.น. ไบเดนจึงออกคำสั่งถอนทัพ ซึ่งแน่นอนเหตุการณ์ไม่มีทางราบรื่นได้ (ดูรูปล่าสุด ผู้ลี้ภัยอัฟกานเข้าอเมริกา)

วิธีแก้เปราะนี้ ดูรูปผู้ลี้ภัยแล้วสงสารพวกเขาต้องจากบ้านจากเมืองมาตั้งต้นชีวิตใหม่ต่างแดน จำคำสอนแม่ได้ว่า“คนเราเลือกเกิดไม่ได้นะลูก ขึ้นอยู่กับบุญและกรรม ดูเด็กที่ทำไมไปเกิดในอัฟริกา ประเทศแห้งแล้งลำบากไม่มีจะกิน ลูกมีบุญที่เกิดในประเทศไทย และยังได้มาเกิดในท้องแม่” คุณแม่ยังสอนต่อว่า “ลูกต้องทำบุญมากๆในชาตินี้ ชาติหน้าลูกจะได้มาเกิดในท้องแม่อีก” คำสอนนี้ให้ดิฉันได้คิดว่า บุญ กรรม คงจะมีจริง คนเราเลือกเกิดไม่ได้
ข่าวโควิดและ“เดลต้า แวเรี่ยนซ”
ข่าวโควิดนี้เรื้อรังมาเกือบ 2 ปี ต้นปีนี้ CDC (Centers for Diseases Control and Prevention) ศูนย์ควบคุมแลป้องกันโรค ได้อนุมัติวัคซีนป้องกันโควิด ประชาชนในอเมริกาส่วนใหญ่ได้ฉีดวัคซีนทำให้สถานการณ์เริ่มเบาลง รัฐคาลิฟอร์เนียผ่านยกเลิก “เสตย์ โฮม ออร์เด้อร์” (stay home order) วันที่ 15 มิถุนาที่ผ่านมา ทุกอย่างเกือบกลับสภาพปกติ ไม่ทันไรข่าวใหม่ออกมาอีกถึงไวรัสตัวใหม่ “เดลต้า แวเรี่ยนซ”ตามข่าวบอกว่าไวรัสตัวใหม่ร้ายแรงกว่าโควิด คนก็หวาดกลัวกันต่ออีก “เฮ็อ!” ตอนนี้รัฐบาลประโคมข่าวให้ผู้คนฉีดวัคซีนเข็มที่สาม หรือ “บู๊สเต้อร์ ช็อท” (booster shot) และเมื่อไรจะพอหนอ ไวรัสสายพันธ์ใหม่ก็จะออกมาเรื่อยๆเราก็จะรอฉีดวัคซีนเพิ่มภูมิต้านทางกันไปตลอดชีวิตหรือ
วิธีแก้เปราะนี้ คือ ดิฉัน “อดข่าว” เพราะว่าทำให้เครียด แต่ละวันมีแต่ข่าวโควิดสถิติตัวเลขจำนวนผู้ป่วยและผู้ตายจากโควิด ข่าวจะไม่พูดถึงประวัติผู้ตาย อายุ หรือโรคประจำตัว หรือสาเหตุที่ตายอย่างแท้จริง ตัวอย่าง เพื่อนบ้านดิฉันพึ่งตาย เพราะเธอเป็นโรค “ลูคีเมีย” ขั้นสุดท้าย ระหว่างเธออยู่ ร.พ. เพื่อทำคีโม ในระยะ 3 ปี ระหว่างอยู่ ร.พ. เธอติดโควิด และตาย สามีเธอบอกว่าใบมรณบัตรภรรยาเขียนว่าเธอตายด้วยโรคโควิด สามีบอกต่อว่า ร.พ. ได้เงินเพิ่มรายหัวจากผู้ตายด้วยโควิด??? ดิฉันไม่ทราบว่าจริงไหม
วิธีปกป้องไวรัสคือ 1.ฉีดวัคซีน เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกาย 2.สร้างภูมิต้านทานในร่างกายด้วยตัวเราเอง โดยไม่ฉีดวัคซีน ดิฉันเชื่อข้อสองมากกว่า ร่างกายคนเรามีระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเซล์ภูมิต้านทานเรียก T Cell ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน้าด่าน เมื่อเชื้อไวรัสเข้าร่างกาย ภูมิคุ้มกันก็จะต่อสู้ช่วยกำจัดและทำลายเชื้อไวรัสได้ ถ้าเราสุขภาพดีแข็งแรงก็จะมีภูมิต้านทานสูง ฉะนั้นถ้จะติดโควิดก็จะป่วยน้อย และอีกอย่างตามสถิติหนุ่มสาวผู้อายุน้อยกว่า 50 ปี มีเปอร์เซ็นติดโควิดและมากกว่าผู้สูงอายุ เนื่องจากผู้สูงอายุมีโอกาศที่ติดเชื้อไวรัสมาก่อน และไวรัสนั้นจะเหลืออยู่ในร่างกายเข้าใน T Cell เป็น“ซัพพลายที่มีความทรงจำ” (supply of memory) เผื่อมีไวรัสใหม่เข้ามาในอนาคต จะได้ต่อสู้มันได้ ดิฉันรู้ว่าตัวเองมีระบบภูมิคุ้มกันสูง เพราะบ้านเรา พ่อ แม่ ลูกออกกำลังทุกวันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ทั้งโยคะ นั่งลมปราน ไทชี เราเดินวันละ 2 ไมล์ ดิฉันนอนวันละ 8 ชั่วโมง และดิฉันไม่เคยประมาท ในฐานะที่ดิฉันจัดอยู่ในกรุ๊บ ส.ว. จึงได้ผ่านไวรัสมาหลายชนิด ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู ไข้หวัดซาร์ส(SARS) มาแล้ว ฉะนั้นมี“ซัพพลายที่มีความทรงจำ” และ ต้นปีนี้เพื่อนรักดิฉันติดโควิด เธอพักผ่อน 2-3 สัปดาห์ก็หายเอง ถ้าเพื่อนดิฉันต่อสู้กับโควิดได้เอง ดิฉันรู้ว่าถ้าตัวเองติดโควิดก็ไม่ตายหรอก และในแง่ดีดิฉันก็จะมี “ซัพพลายที่มีความทรงจำ” ในตัว เผื่อมีไวรัสใหม่เข้ามาในอนาคต ร่างกายก็จะต่อสู้มันได้
การตายจาก
ความเศร้าโศรก เดือนนี้“เอ๊กซ์”ลูกเขยดิฉันตายฉับพลันจาก“สโตร๊ค”(stroke) เศร้าใจและสงสารหลานมาก คนเดียวไม่พอตามด้วย “พี่เขย” เป็นโรคหัวใจล้มเหลวอย่างแรง หรือ “แม็สสีฟ ฮ๊าร์ท แอ็ทแท็ค” (massive heart attack) ตอนนี้เรารอวันที่เขาจะจากเราไป ดิฉันเป็นห่วงพี่สาวมากๆเพราะเธออยู่คนเดียว นานแล้วดิฉันเคยสัญญาพี่สาวว่าถ้าพี่เขยเป็นอะไรไป ดิฉันจะบินไปหาเธอที่เยอรมันีทันที
วิธีแก้เปราะนี้ คือ จำได้ตอนคุณพ่อเสีย ดิฉันร้องห่มร้องไห้ คุณแม่เตือนสติดิฉันว่า “คนเราไม่จากเป็นก็จากตาย นะลูก” ดิฉันก็นึกจริงแฮะ วันดิฉันจากบ้านไปอเมริกาอายุเพียง 18 ปี เท่ากับดิฉันได้ “จากเป็น” พ่อ แม่ มาตั้งแต่นั้น และบั้นปลายก็ “จากตาย” ดิฉันน่ะทำใจได้ แต่เป็นห่วงพี่สาว เลยตั้งใจว่าจะบินไปเยอรมันีอยู่เป็นเพื่อนพี่สาว คำสอนแม่ก็เข้ามาอีก ท่านเคยสอนว่า “เสียหนึ่งอย่าเสียสอง” ถ้าดิฉันบินไปหาพี่สาว โอกาสที่ดิฉันจะติดโควิดมีสูง ถ้าดิฉันติดคนนึง สามีและลูกต้องเครียดมากๆ ฉะนั้น “เสียหนึ่งอย่าเสียสอง” ดีกว่า สรุปตัดสินใจไม่เดินทาง
ข้อคิด
อย่าเครียด หาอะไรคิดในสิ่งดีๆ มองโลกและชีวิตในแง่ดี แทนที่จะเศร้า เซ็ง และหวาดกลัวนะคะ