วันที่ 22 เมษา เป็นวันเกิดแม่ คุณแม่เสียเร็วอายุเพียง 72 ปี แต่คำสอนของท่านก้องอยู่ในหูตลอด ดิฉันเคยปรับทุกข์กับแม่เรื่องลูกว่ามันดื้อ สอนอะไรไม่ฟัง แม่ตอบว่า“เราเป็นแม่ มีหน้าที่สอน สอนไปเถอะลูก สักวันก็เข้าหู” จริงค่ะ ดิฉันมาอยู่เมกาตอนอายุเพียง 18 ปี ดิฉันได้เป็นผู้เป็นคนเพราะคำสอนแม่ (พ่อ ด้วยค่ะ) คำสอนของท่านเป็นหลักวิถีการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงานของดิฉัน


โตช้าแบบต้นมะม่วง อย่าโตเร็วแบบต้นมะละกอ
เมื่อดิฉันสอบผ่านบาร์(กฎหมาย)เป็นทนายความ ปีนั้นดิฉันเปิดสำนักงานกฎหมายของตนเองทันที เช่าออฟฟิสแชร์กับทนายอีก 2 คน ตึกไฮไร๊ส์สูง 18 ชั้น ในเมือง “ลองบีช” (Long Beach) เลือกห้องมีวิวทะเล ค่าเช่า 850 เหรียญ (นับว่าแพงสำหรับสมัยนั้น) พอโทรไปบอกแม่ ท่านเงียบไปสักพักและพูดว่า ลูกค่อยไปช้าๆ โตช้าแบบต้นมะม่วงล้มยาก อย่าโตเร็วแบบต้นมะละกอ มันล้มง่าย มา ณ.วันนี้ ดิฉันเป็นทนายมา 28 ปี


เอ็นดูคนจนเอ็นขาด
หลังจากมีออฟฟิสส่วนตัวได้ไม่ถึงปี ดิฉันได้ถูกจ้างให้ไปทำงานกับ“ซิตี้แบ๊งค์”ในเมืองไทย วันหนึ่งยืนรอเรียกแท๊กซี่กลับบ้าน เห็นเด็ก 2 คนพยายามข้ามถนน รถก็วิ่งกันเร็วมาก ดิฉันรีบข้ามถนนจะไปช่วยเด็ก ตัวเองหกล้มหัวเข่าถลอกปอกเปิกส่วนเด็กวิ่งข้ามถนนปลอดภัย พอกลับบ้านเล่าแม่ฟัง แม่พูดว่า “ลูกเอ็นดูคนจนเอ็นขาด” คำสอนนี้ดิฉันมาเข้าใจภายหลัง เมื่อดิฉันรับเคสที่ลูกความทำเคสเอง หรือให้ทนาย/แทนะทำให้และเรื่องไม่ผ่าน ซึ่งดิฉันไม่ควรรับเพราะมันเละเทะ แต่ใจอ่อนรับเคสด้วยความสงสาร รับทีไรเอ็นขาดทุกที ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าแม่หมายถึงอะไร

ทำทันที
คำสอน“ทำทันที”นี้ แม่พูดซ้ำพูดซากตั้งแต่ดิฉันเด็กๆ ดิฉันคงจะชอบผลัดวันประกันพรุ่ง วันหนึ่งดิฉันกลับไปเมืองไทย ทีวี 13 นิ้วในห้องนอนแม่ไม่ทำงาน ดิฉันบอกคุณแม่ว่าพรุ่งนี้เช้าดิฉันจะมาเอาทีวีไปแก้ให้ รุ่งขึ้นดิฉันไปบ้านแม่แต่เช้า ไปถึงแบกทีวีเดินไปหน้าปากซอยให้ช่างทีวีแก้ บ่ายก็ไปรับทีวีกลับให้แม่ แม่มองด้วยสายตาชื่นชม และพูดว่า “ลูกนี่ดีนะ พูดแล้วทำทันที” ว่าว! (คิดว่าตอนนั้นดิฉันอายุปลายๆ 30) ไม่มีอะไรสายเกินไปเนอะคะ เวลาดิฉันรับเคส ดิฉันจะทำเคสทันทีไม่เคยวางค้างอยู่บนโต๊ะทำงาน

รกคนดีกว่ารกหญ้า
เพราะบ้านเราอยู่กรุงเทพ ลุงป้าน้าอายังอยู่ต่างจังหวัดกัน ลุง ป้าก็จะส่งลูกมาเรียนกรุงเทพและมาอยู่บ้านเรา จำคำคุณแม่สอนได้ว่า “รกคนดีกว่ารกหญ้า” ซึ่งคำสอนนี้ประสบกับตัวเอง ลูกความซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนดิฉันตกอับ หอบลูกเล็กย้ายกลับไปอยู่เมืองไทย 3-4 ปี เธอคุยกับดิฉันว่าต้องการกลับมาเมกาเพื่ออนาคตลูก เธอต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดิฉันคุยกับสามีว่าจะให้เพื่อนและลูกมาอยู่กับเราจนกว่าเขาจะตั้งตัวได้ ดิฉันให้เหตุผลกับสามีว่าเราให้ชีวิตคน 2 คน เท่ากับเราต่อชีวิตตัวเอง (ตอนนั้นสามีพึ่งผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดิฉันกลัวสามีอายุสั้น) เขาทั้งสองอยู่กับเราจนลูกเรียนจบไฮสกูล เพื่อนได้งานที่ลูกชายช่วยหาให้ แม่และลูกได้ดี ปัจจุบันเพื่อนรีไทร์ ลูกจบมหาวิทยาลัยทำงาน “เธอเป็นเพื่อนรักและเพื่อนตาย” ของดิฉัน เพราะคำสอนแม่ “รกคนดีกว่ารกหญ้า

ไม่จากเป็นก็จากตาย
หลังคุณพ่อเสีย ทุกครั้งไปไทย เวลาไปลาแม่ก่อนกลับเมกา ดิฉันก็จะน้ำตาไหล กลัวว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ลาแม่ คุณแม่มองดิฉันและพูดแบบสีหน้าธรรมดาที่สุดว่า “คนเรา ไม่จากเป็นก็จากตายนะ ลูก” บางครั้งดิฉันนึกถึงความรู้สึกแม่ ตอนดิฉันจากไปอเมริกาอายุเพียง 18 ปี ท่านคงหัวใจแทบขาด ฮือๆๆ


นมยานฟัดอก
คำสอนส่งท้ายค่ะ ทุกครั้งที่ดิฉันประสาทเสียกับลูก จะนึกถึงคำสอนแม่ว่า ลูกเปรียบเสมือน “นมยานฟัดอก” ดิฉันนึกภาพลูก 2 คนของดิฉัน ห้อยปุเลงๆบนอกดิฉันและดิฉันต้องพาด 2 ลูกอยู่บนไหล่ไปจนตาย สำหรับผู้ที่มีลูก หลาน คงเข้าใจนะคะ ☺️
แด่คุณแม่ที่รัก

Published by JK

https://www.linkedin.com/in/jiradett/

%d bloggers like this: