เที่ยว“มิดเวสท์”กับดิฉัน

คอลัมน์นี้เขียนรวบยอด 2 เดือนเลยนะคะ ที่ดิฉันหายไป เพราะ“พี่ต้อย”พี่สาวคนโตมาหาจากเยอรมันี เราไม่ได้เจอกัน 3 ปีเนื่องจากโควิดและพี่เขยพึ่งเสียชีวิตปลายปีที่แล้ว เราแฮ็ปปี้มากจุ๊กจิ๊กกันทั้งวัน “พี่อั๋น”และ“พี่แด๋น”เพื่อนสนิทจุฬาฯพี่ต้อย พี่ทั้งสองเคยเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซต้ากว่า 40 ปีก่อน ได้ชวนเราไปหาและรับอาสาพาเราเที่ยวแถบ “มิดเวสท์” เที่ยวครั้งนี้นอกจากจะได้สนิทและใช้เวลากับพี่ต้อย  ดิฉันได้เรียนรู้ประวัติอเมริกาเกี่ยวกับรัฐแถบ“มิดเวสท์” และการบุกเบิกหรือ“ไมเกรชั่น” (migration) ของผู้อพยพจากพี่อั๋นและพี่แด๋น 

4 เขต ของอเมริกา

ก่อนอื่นทำความรู้จักการแบ่งเขตอเมริกา เป็น 4 เขต ตามโซนเวลา

1. เขตฝั่งตะวันออก เรียก“อีสเทร์น” (Eastern) 

2. เขตภาคกลาง เรียก “เซ็นทรัล” (Central)  

3. ถัดไปทางตะวันตก เรียก “เมานเท่น” (Mountain)  เพราะมีเทือกเขาเยอะ และ

4. ฝั่งตะวันตก เรียก “ปาซิฟิค” (Pacific)

เพราะเรียบฝั่งมหาสมุทรปาซิฟิค  ดูรูป ไทม์โซน 4 เขตนอกนั้น รัฐอลาสก้า และ รัฐฮาวาย มีไทม์โซนของตนเอง

“มิดเวสท์” และ“เซ๊าท์เท่อร์นสเตทส”

ภาคเซ็นทรัล แบ่งเป็น 2 เขต รัฐทางเหนือ และรัฐทางใต้ ตอนเหนือ เรียก “มิดเวสท์” และรัฐตอนใต้ เรียก “เซ๊าท์เท่อร์น สเตทส” ดูรูป แผนที่ เขตแบ่งแยก“มิดเวสท์” และ“เซ๊าท์เท่อร์นสเตทส”

“มิดเวสท์” (Midwest) รัฐทางตอนเหนือติดชายแดนประเทศแคนาดา  ถึงตอนกลางของภาค มี 12 รัฐคือ นอร์ทดาโคต้า, เซาท์ดาโคต้า, มินนิโซต้า, วิสคอนซิน, มิชิแกน, เนบราสก้า, ไอโอว่า, อิลลินอยส์, อินเดียน่า, โอไฮโอ, แคนซัส, และ มิสซูรี่ นอกนั้นเป็นรัฐตอนใต้ “เซ๊าท์เท่อร์นสเตทส”(Southern States) รวม เท็กซัส โอคลาโฮม่า อาร์คันซอส์ เท็นเน็สซี่ เค็นตั๊กกี้ หลุยเซียน่า มิสซิสซิปปี้ และอลาบาม่า บวกรัฐทางตอนใต้ฝั่งตะวันออก สาเหตุของการแบ่งแยกรัฐ คือ  ปี ค.ศ. 1860 (2403) ประธานาธิบดีลินคอล์นประกาศเลิกระบบทาส รัฐทางใต้เป็นรัฐที่ใช้แรงงานทาสในการทำไร่ฝ้ายและยาสูบ จึงไม่ต้องการเลิกทาส เซาท์แคโรไลนาเป็นรัฐแรกที่ประกาศแยกตัวทำสงครามกับรัฐที่ต้องการเลิกล้มระบบทาส หลังจากนั้นรัฐ มิสซิสซิปปี้รัฐเทนเนสซี่ และรัฐทางใต้อีกหลายรัฐ ทะยอยร่วม และประกาศแยกตัวเป็นออกจากสหพันธรัฐ เป็นเหตุให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐทางเหนือและรัฐทางใต้ หรือสงครามเลิกทาส

การเดินทาง

เราบินจากสนามบิน “ลองบีช” (Long Beach) คาลิฟอร์เนียไปสนามบิน “เดนเว่อร์” (Denver) โคโลราโด เขต“เมานเท่นส์” เวลาต่างกับคาลิฟอร์เนีย 1 ชั่วโมง เขต“เมานเท่นส์” มีภัยธรรมชาติ คือพายุไต้ฝุ่น ที่สนามบิน หน้าห้องน้ำ หญิง ชาย จะมีป้ายเขียนว่า “ทอร์นาโด้ แช็ลเต้อร์” (Tornado Shelter) หรือที่หลบภัยใต้ฝุ่น ยกเว้นห้องน้ำสุนัข ดูรูป 😁 ดิฉันไปถามพนักงานว่าป้ายนี้เขาหมายถึง ทอร์นาโดจริงๆหรือมีมุขตลกเรียกห้องน้ำว่าที่หลบพายุ เขาหัวเราะและโชว์รูปทอร์นาโดที่ลานสนามบินให้เราดู เป็นความรู้ใหม่สำหรับดิฉันว่าแถบเมาน์เท่นมีภัยธรรมชาติคือ ทอร์นาโด

เราต่อเครื่องไป เซ็นท์ พอล มินนิโซต้าถึงบ่ายสายๆ“พี่อั๋น”และ“พี่แด๋น”มารับ  เวลามินนิโซต้าต่างกับคาลิฟอร์เนีย 2 ชั่วโมง เรานอนที่เซ็นท์ พอล 2 คืน รุ่งขึ้นพี่เขาพาเราไปเดินเรียบแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ดิฉันได้ความรู้เพิ่ม เกี่ยวกับความสำคัญของแม่น้ำและการอพยพหรือ “ไมเกรชั่น” ของพวกบุกเบิกและพวกอพยพ

แม่น้ำมิสซิสซิปปี้

แม่น้ำมิสซิสซิปปี้ เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของ “มิดเวสท์” ทั้งในด้านการเดินทางและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ แถบแม่น้ำมีพื้นที่ราบ มีความอุดมสมบูรณ์ พวกคนพื้นถิ่น-อินเดียนแดงตั้งรกรากอยู่สองฝั่งน้ำมา คำว่า “มิสซิสซิปปี้” มาจากภาษาพื้นถิ่น คนอินเดียนแดงเรียกแม่น้ำสายนี้ว่า “บิดาของแม่น้ำ” หรือ “เดอะ ฟาเท่อร์ อ๊อฟ วอเท่อร์ส” (The Father of Waters)  คำ “มิสซิ” (misi) แปลว่า ใหญ่ “ซิปปี้” (sipi)  แปลว่าน้ำ ต้นน้ำแม่น้ำมิสซิสซิปปี้เริ่มต้นจากรัฐมินนิโซต้าติดประเทศแคนาดา มาจากทะเลสาปเล็กๆหลายทะเลสาปและไหลลงใต้ ผ่านรัฐทั้งหมด 6 รัฐคือ รัฐมินนิโซต้า รัฐไอโอวา  รัฐอิลลินอย รัฐมิสซูรี รัฐเทนเนสซี และ รัฐหลุยเซียน่า ที่เมืองนิว ออร์ลีนส์ และออกอ่าวเม็กซิโก ที่เมือง เซ็นตหลุยส์ รัฐมิสซูรี แม่น้ำมิสซิสซิปปี้ไปบรรจบกับแม่น้ำมิสซูรี่ เรียกว่า แม่น้ำมิสซิสซิปปี้-มิสซูรี่ Mississippi-Missouri River ซึ่งเป็นแม่น้ำที่สำคัญและยาวที่สุดของอเมริกา  ดูรูป สายน้ำ แม่น้ำแม่น้ำมิสซิสซิปปี้-มิสซูรี่

การอพยพ “ไมเกรชั่น” (Migration)

วันรุ่งขึ้นเราไปเดินเรียบแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ ดูรูป พี่อั๋นเล่าประวัติพวกผู้อพยพที่“ไมเกรท” (migrate) เข้าแถบมิดเวสท์ คือ ปีค.ศ. 1783 (2326) หลังสงครามปฏิวัติระหว่างอเมริกาและอังกฤษสิ้นสุดลง อังกฤษรับรองให้รัฐเมืองขึ้น 13 รัฐเป็นรัฐเอกราชและให้ดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นพวกบุกเบิก “เซ็ทเล่อร์” (Settlers) “ไมเกรท” หาอาณานิคมใหม่ทางตะวันตกเฉียงตอนเหนือเรียก “นอร์ทเวสท์ แทริโทรี่” (Northwest Territory) เริ่มจากเรียบติดฝั่งแคนาดา แต่เพราะตอนเหนืออากาศหนาวจัด มีหิมะและธารน้ำแข็ง ปลูกพืชไม่ได้ ได้แต่ต้นไม้ใหญ่ ผู้คนจึงตั้งรกรากอยู่น้อย เรียบลงมาทางใต้อากาศไม่หนาวจัด ดินดี อุดมสมบูรณ์ ปลูกข้าวสาลีได้ดี และมีทรัพยากรธรรมชาติ เช่นถ่านหิน น้ำมัน และเหล็ก เหมาะทั้งการกลิกรรมและอุตสาหกรรม เพราะสามารถใช้พลังน้ำจากแม่น้ำปั่นเครื่องจักรได้ ผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามาจากยุโรปโดยเฉพาะชาวเยอรมันและชาวแสกนดิเนเวียน ดูรูป สองอุตสาหรรมใหญ่เกิดขึ้นคือ โรงงานผลิตแป้ง “พิลส์เบอรี่” (Pillsbury) และ“โกลด์ เม็ดเดิล” (Gold Medal) ชาว “โบฮีเมียน” (Bohemian) พวกยิปซีจากแถบประเทศเช็คส์ (Czech) ได้หลั่งไหลกันเข้ามาทำงานโรงแป้ง พวกเขาตั้งรกรากอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เราไปดูจุดอนุสรณ์หมู่บ้านชาวโบฮีเมียน “โบฮีเมียน แฟลทส์” (Bohemian Flats) ดูรูป ความเฉิ่มของดิฉันพยายามมองหาตึกแฟลทส์ แต่ที่จริงคำว่า“แฟลทส์” ในที่นี้แปลว่า “ที่ราบ”  ดูรูป

ปี ค.ศ. 1803 (2346) อเมริกาซื้อรัฐ “หลุยเซียน่า” จากฝรั่งเศษ เป็นการขยายดินแดนกว้างของที่ราบตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำมาซิสซิปปี้ คลอบคลุมทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มาก เรียกแถบนี้ว่า “เดอะ เกรท เพลนส์” (The Great Plains) เปิดทางให้พวกบุกเบิกและผู้อพยพไปลงทางตอนใต้ คนพื้นถิ่น-พวกอินเดียนแดงอยู่แถบนี้มาหลายพันปีก่อน แถบนี้เป็นแถบพื้นที่ราบ และที่ราบสูง ทำนา เลี้ยงฟาร์ม  ทำกสิกรรมได้ดีมาก ผู้อพยพได้รุกร้ำเข้าดินแดนพวกอินเดียนแดงที่อยู่มาก่อน ภายหลังรัฐบาลและพวกอินเดียนแดงได้ทำสนธิสัญญา จัดสรรเขตให้ที่ดินพวกอินเดียนแดงอยู่ เรียก เรเซอร์เวชั่น (reservation)

รัฐวิสคอนซิน 

จาก เซ็นท์ พอล พี่อั๋นขับรถไปวิสคอนซิน สโลแกนของรัฐ คือ อเมริกา’ส เดรี่แลนด์ (America’s Dairy land) เพราะเป็นรัฐ นม เนย ไข่ อุดมสมบูรณ์ ระหว่างสองข้างทาง เห็นแต่พื้นราบ เขียวชอุ่ม มองแล้วเหมือนนาข้าวเมืองไทย เห็น ธารน้ำเล็กๆมาตลอด ในธารมีแหนและผักตบชวา ไม่เห็นต้นไม้ใหญ่ และไม่เห็นวัวสักตัว พี่อั๋นบอกว่า รัฐวิสคอนซินมีหน้าดินตื้น จึงไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ต้นสน ปลูกข้าวโพดและถั่วเหลือง ซึ่งใช้เป็นอาหารวัว และวัวที่นี่เป็นวัวนม ไม่ใช่วัวเนื้อ วัวถูกเลี้ยงในโรงนา ไม่อยู่ตามทุ่ง ระหว่างทางเราแวะร้านขายของที่ระลึกซื้อ “ชีส” (cheese) คนงานในร้านหลายคนพูดมีแอ๊กเซ่นเยอรมันส่วนมาก ดูรูปเจ้าหนูแทะ cheese หน้าร้าน เห็นแล้วน่าเข้า

เรานอนที่วิสคอนซิน 3 คืน สองคืนที่เมือง “เคโนช่า” (Kenosha) ภาษาอินเดียนแดง เป็นชื่อปลา “ไพ๊ค” (pike) หรือ “พิคเคอเรล” (pickerel) แถบนี้เป็นพื้นที่คนพื้นถิ่น-อินเดียนแดงอยู่มาก่อน แอร์ บีเอ็นบี ที่พักเรา เดิน 5 นาทีถึงทะเลสาปมิชิแกน “เล๊ค มิชิแกน” (Lake Michigan) เราออกไปเดินเล่นชายทะเลสาปตอนเช้า ดูรูป

ทะเลสาปมิชิแกน ท้องฟ้าสวยมาก

เราได้ไปดูบริเวณหมู่บ้านคนอินเดียนแดง เงียบสงบ ไม่มีคนเดินพลุกพล่าน มีแต่บ้านเนื้อที่กว้าง อยู่ห่างกัน มีถังน้ำและเครื่องปั้มน้ำอยู่นอกบ้าน โรงเรียนเด็ก โบสถ์เล็กๆ และที่น่าสนใจคือ สุสานคนอินเดียนแดง เรียก “อินเดียนมาวนด์ส” (Indian Mounds) หลุมศพ ทำง่ายๆ คือแค่ขุดดิน ฝัง และกลบดินเป็นเนิน ปักป้าย คนมีเงินหน่อยก็ทำหินสลักชื่อ ดูรูป

อินเดียน มาวนด์ส (Indian Mounds)

เมืองเคโนช่าอยู่ห่างจากเมืองเล็กๆชื่อ“บริสตอล” (Bristol) ซึ่งอยู่ติดชายแดน “ชิคาโก” (Chicago) เพราะมีโปรแกรมที่จะไปดูงานแฟร์ที่ หลานชายดิฉันไปออกร้านเปิดบูทซ์ขายสินค้า ศิลปะ ที่งาน“บริสตอล เรอเนซองส์ แฟร์” (Bristol Renaissance Fair) เป็นงานออกร้านใหญ่มีชื่อเสียง ปีละครั้ง 9 สัปดาห์ วันสุดสัปดาห์ ต้นกรกฏาถึงกันยา สินค้าเป็นศิลปะ ยุค เรอเนซองส์ คนขายแต่งตัวแบบสมัยเรอเนซองส์ คนไปเที่ยวงานส่วนมากแต่งชุดยุคเรอเนซองส์ ดูรูป

“บริสตอล เรอเนซองส์ แฟร์” (Bristol Renaissance Fair)

ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์

เรานอนที่ชิคาโก 2 คืน จากเมืองเคโนช่า เข้าชิคาโกประมาณ 2 ชั่วโมง บรรยากาศเปลี่ยนเมื่อเข้าเขตชิคาโก ฟรีเวย์รถติดพอๆกับแอลเอ ชิคาโกเป็นเป็นเมืองที่เจริญเร็วมากและรุ่งเรืองที่สุดใน“มิดเวสท์” ปี ค.ศ. 1890 (2433) ชิคาโกกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรม 100% ในขณะที่แถบ “เดอะ เกรท เพลนส์” (The Great Plains) ยังทำกสิกรรม เมืองชิคาโกมีสโลแกนว่า “วินดี้ ซิตี้” (Windy City) เพราะลมแรงมากเนื่องจากดาวน์ทาวน์ ชิคาโกติดริมทะเลสาปมิชิแกน “วินดี้ ซิตี้” ตีอีกความหมายคือ “พ่นเป็นลม” ชิคาโกเป็นเมืองที่มีนักการเมืองจำนวนมากอยู่ ในศตวรรษที่ 19 พวกนักหนังสือพิมพ์เขียนล้อเลียนพวกนักการเมืองว่าพูดจากลับกลอกคือ “พ่นเป็นลม” หลานพาเรานั่งรถไฟฟ้าเข้าดาวน์ทาวน์ชิคาโก ดูโรงเรียนที่หลานเรียน ชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ปาร์ค เราเดินดาวน์ทาวน์ได้ทั้งวัน สำหรับดิฉันชิคาโกคล้ายเมือง “เบอร์ลิน” เยอรมัน เจริญมาก มองทางไหนจะเห็นตึกระฟ้า โรงละคร ดนตรีกลางแจ้ง สวนสาธารณะใหญ่ เด็กรุ่นใหม่พวกหัวอาร์ทิสท์อยู่มาก ชิคาโกได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสถาปัตยกรรมและเป็นแหล่งรวมพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ในดาวน์ทาวน์ดิฉันเห็นสถาบันศิลปะ (Art Institute) 3 แห่ง แต่ละแห่งมี “มิวเซียมแคมปัส” (Museum Campus) โชว์ผลงานของนักศึกษา 

ไฮเวย์สาย  66

จุดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของชิคาโกคือ ไฮเวย์สาย  66 หรือ “รูท ซิกส์-ตี้-ซิกส์” ( Route 66) เปิดใช้ปี ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469) เป็นไฮเวย์ทางหลวงสายแรกของอเมริกา เป็นเส้นทางสำคัญในประวัติศาสตร์ของผู้อพยพ จาก“มิดเวสท์” และ “เดอะ เกรท เพลนส์” ไปฝั่งตะวันตก จุดเริ่มต้นจากเมืองชิคาโก ผ่าน รัฐมิสซูรี่ แคนซัส โอคลาโฮม่า เท็กซัส นิวเม็กซิโก อาริโซน่า สิ้นสุดรัฐคาลิฟอร์เนีย เมือง “แซนตา มอนิก้า” (Santa Monica) เขตลอสแอนเจลิส ความยาว 2,448 ไมล์ (3,940 ก.ม) ดูรูปแผนที่เส้นทางไฮเวย์สาย 66  

พายุฝุ่น“ดัสท์โบล” (Dust Bowl)

ระหว่างปี ค.ศ. 1930 – 1940 (2473-2483) เกิดพายุฝุ่นอย่างรุนแรง เรียก “ดัสท์โบล” (Dust Bowl) เป็นภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกายาวนานถึง 10 ปี พายุฝุ่นได้กวาดไปทั่วที่ราบสูง “เกรท เพลนส์”  (Great Plains) จุดที่เริ่มพายุฝุ่นเริ่มจากทางภาคใต้ของแคนซัส ดูรูปล่าง เฉดสีแดง ไปตะวันตกโคโลราโด ตะวันออกรัฐนิวเม็กซิโก เท็กซัสและโอคลาโฮมา ฝุ่นจาก“เกรท เพลนส์” ปกคลุมพื้นที่ประมาณ 100 ล้านเอเคอร์ที่ราบตอนใต้   “เซ๊าท์เท่อร์น เพลนส์” (Southern Plains) ดูรูปล่าง เฉดสีน้ำตาล และเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1934 (2477) ได้ปล่อยฝุ่น 12 ล้านตันในเมืองชิคาโก พายุฝุ่นนี้เป็นช่วงวิกฤติอย่างรุนแรงปลายปี ค.ศ. 1940 (2483) ผู้คน 2.5 ล้านคนได้ย้ายออกจาก แถบที่ราบอพยพไปตะวันตกโดยใช้เส้นทางไฮเวย์สาย 66  จากจำนวน 2.5 ล้านคน  200,000 คนย้ายไปอยู่คาลิฟอร์เนีย

ไฮเวย์สาย 66  ถูกยกเลิกออกจากระบบทางหลวงปี ค.ศ. 1985 (2528) แต่บนแผนที่ยังมีเขียนว่า“เส้นทางประวัติศาสตร์สาย 66”  หรือ ฮิสตอริค รูท 66 ( Historic Route 66) ปัจจุบันไม่สามารถขับรถได้ตลอดสายเพราะถนนพังมากไม่มีการซ่อมหรือทะนุบำรุง แต่บางส่วนของเส้นทางเดิมรัฐมีการกำหนดให้เป็นเส้นทางชมวิว (National Scenic Highway)

ที่สนามบิน “มิดเวย์” มี ห้องสวดมนต์ ห้องแม่ให้นมลูกกิน และห้องโยคะ ดูรูป ป้ายและห้องโยคะ  ดิฉันได้โยคะก่อนขึ้นเครื่อง พอออกจากห้องโยคะ เดินต่อจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นถังขยะสีเขียว ตั้งอยู่หน้าออฟฟิสตำรวจสนามบิน ดูรูป ถังขยะเขียว เขียนว่า “คานาบิส แอมเนสตี้ บ๊อกซ์” (Cannabis Amnesty Box) “คานนาบิส” คือ กัญชา “แอมเนสตี้” คือ การผ่อนผัน/ไม่เอาผิก เป็นครั้งแรกที่ดิฉันเคยเห็น“ถังขยะให้ทิ้งกัญชา และจะไม่เอาผิด” ทันสมัยดีไหมคะ ชิคาโก !!!

ถังขยะทิ้งกัญชาและจะไม่เอาผิด

ถึงแม้ ปัจจุบันหลายรัฐในอเมริกาได้ผ่านกฎหมายให้ สูบกัญชาเพื่อการพักผ่อนหรือ “เร็คครีเอชั่น” (recreation) ได้ แต่กฎหมายรัฐบาลกลาง “เฟ็ดเดอรัล ลอว์” (Federal Law) ถือว่าผิดกฎหมาย สนามบินเป็นสถานที่ของรัฐบาลกลาง และ “แอร์ เสปซ” (air space) ภายใต้กฎหมายรัฐบาลกลาง ฉะนั้นที่สนามบิน และบนเครื่องคุณอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐบาลกลาง ฉะนั้นการมีกัญชาในครอบครอง ผิดกฏหมาย  ข้อเตือนนะคะ อย่านำกัญชาติดตัวเวลาเดินทาง ไม่ว่าจะบิน ขับรถข้ามรัฐเพราะบางรัฐยังถือว่าผิดกฎหมาย และอีกข้อคือ “ไฮเวย์ อินเทอร์เสตท” (interstate highway) ระหว่างรัฐเป็นทางหลวง อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐบาลกลาง และทางเรือ น่านน้ำทะเลอยู่ภายใต้ กฎหมายรัฐบาลกลาง เช่นกัน!!!!!  

วิธีที่จะเอาครอบครัวมาเมกาได้เร็วที่สุด

แฮ็ปปี้ ซัมเมอร์ค่ะ วันที่ 21 มิถุนาที่ผ่านมาวันแรกของฤดูร้อน และยังเป็นวันโยคะสากล The international day of yoga วันที่ 22 เป็นวัน “ซัมเม่อร์โซลติส” (summer solstice) วันที่กลางวันและกลางคืนเท่ากัน ที่บ้านดิฉันเราพวกโยกิ (นักเรียนโยคะ) จะมีการฉลอง 4 ครั้งต่อปี ทุกครั้งที่เปลี่ยนฤดู หน้าฤดูใบไม้ผลิเดือนกุมภา หน้าร้อนเดือนมิถุนา หน้าฤดูใบไม้ร่วงกันยา และหน้าหนาว ธันวา ตามหลักอายุรเวชและโยคะ เพื่อร่างกายเราจะได้ปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ ดูรูป วันเสาร์กลางวัน ที่ 25 มิย. ที่ผ่านมา พวกเราฉลองซัมเม่อร์ หลังจากโยคะเสร็จ อาหารหลักสามีทำ อาหารแขก “ฟาลาเฟล” (falafel) คล้ายๆ “ไบเยียร์” ที่แขกเดินขายที่สนามหลวงเมื่อสมัยดิฉันเด็กๆ คนรุ่นใหม่คงไม่รู้จักไบเยียร์ และดิฉันทำขนมอาหรับ 1 ถาด “บาคลาว่า” (baklava)   และโยกิแต่ละคนทำอาหารชาตินานาชาติมาแจมกันหลังบ้าน  สนุกสนาน

วันนี้คุยเรื่องวิธีใดที่ผู้ถือใบเขียวสามารถเอาครอบครัวมาเมกาได้เร็วที่สุด

 ถ้าคุณได้ใบเขียว “กรีนคาร์ด” (Green Card) หรือเป็น “อเมริกันซิติเซ่น” (American citizen) คุณสามารถขอใบเขียวให้ พ่อ แม่ ลูก พี่ และ น้อง ในเมืองไทย มาอเมริกาได้ คอลัมน์นี้คุยว่าวิธีใดเร็วที่สุด

ระยะเวลารอได้อเมริกันซิติเซ่น

ผู้ที่ได้ใบเขียวจากคู่สมรสอเมริกันเป็นคนยื่นให้ คุณสามารถยื่นเรื่องโอนสัญชาติเป็นคนอเมริกัน หรือ “อเมริกันซิติเซ่น” เรียกย่อๆว่า “ซิติเซ่น” แล้วกันนะคะ ได้เร็วที่สุดประมาณ 5 ปี + แต่ถ้าได้ใบเขียวจากผู้อื่นเช่น พ่อ แม่ พี่น้องขอใบเขียวให้ หรือจากการทำงาน หรือใบเขียวล็อตเตอรี่ ใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดประมาณ 7 ปี + กรณีที่เรื่องราบรื่น

ไทม์ไลน์ ถ้าคุณแต่งงานกับคนอเมริกัน คู่สมรสยื่นขอใบเขียวให้คุณที เวลารอเรื่องประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นถ้าคุณทั้งสองอยู่ด้วยกันคือไม่หย่า 3 ปี คุณจึงยื่นเรื่องทำซิติเซ่น เวลารอเรื่องประมาณ 1 ปี  1+3+1 รวม 5 ปี กรณีได้ใบเขียววิธีอื่น คุณต้องรอ 5 ปีก่อนจะยื่นเรื่องทำซิติเซ่นได้ 1+5+1 รวม 7 ปี

วิธีที่จะเอาครอบครัวมาเมกาได้เร็วที่สุด

ทันทีที่คุณได้ใบเขียว คุณสามารถยื่นเรื่องขอใบเขียวให้ครอบครัวในเมืองไทยได้ทันที ไม่ต้องรอ 5-7 ปีให้ได้ซิติเซ่นก่อน ใบเขียวครอบครัวเรียก “กรุ๊บเพร็ฟเฟอเร็นซ์” แบ่งเป็น 5 กรุ๊ป แต่ละกรุ๊บมีโควต้ากำหนดจำนวนใบเขียวที่รัฐบาลออกให้ต่อปี  ถ้ากรุ๊บไหนมีคนขอมากเกินจำนวนโควต้าในปีนั้น จำนวนที่เหลือก็โละไปโปะโควต้าของปีต่อไปและต่อไป บางกรุ๊บรอนานถึง 15 ปี ข้างล่างเป็นกรุ๊บ“กรุ๊บเพร็ฟเฟอเร็นซ์”  4 กรุ๊บ ระยะเวลารอ ณ. เดือน กรกฎา ปี 2022 นี้

กรุ๊บ 1    ซิติเซ่น ขอใบเขียวให้ลูกอายุเกิน 21 ปี ไม่สมรสคือไม่จดทะเบียน โสด หรือหย่าแล้ว ระยะเวลารอใบเขียวประมาณ 8 ปี ถ้าลูกมีบุตรเล็กที่อายุต่ำกว่า 21 ปี ไม่สมรส บุตรจะได้ใบเขียวพ่วงมาด้วย ระยะเวลารอใบเขียว 8 ปี

กรุ๊บ 2 แบ่งเป็น 2A และ2B

กรุ๊บ 2A ผู้ถือใบเขียว ขอใบเขียวให้คู่สมรส และถ้าคู่สมรสมีบุตรเล็กอายุต่ำกว่า 21 ปี ไม่สมรส บุตรจะได้ใบเขียวพ่วงมากับพ่อหรือแม่ด้วย โควต้ากรุ๊บนี้ว่าง ไม่ต้องรอโควต้า ใช้เวลายื่นเรื่องประมาณ 1 ปี และ

ผู้ถือใบเขียว ขอใบเขียวให้ลูกไม่สมรสอายุต่ำกว่า 21 ปี ใช้เวลายื่นเรื่องประมาณ 1 ปีและถ้าลูกมีบุตรเล็กอายุต่ำกว่า 21 ปี ไม่สมรส บุตรจะได้ใบเขียวพ่วงมาด้วย

กรุ๊บ 2B ผู้ถือใบเขียว ขอใบเขียวให้ลูกอายุเกิน 21 ปี ไม่สมรส และถ้าลูกมีบุตรเล็กอายุต่ำกว่า 21 ปี ไม่สมรส บุตรจะได้ใบเขียวพ่วงมาด้วย ระยะเวลารอใบเขียว 7 ปี 

กรุ๊บ 3    ซิติเซ่น ขอใบเขียวให้ลูกสมรสอายุเกิน 21 ปี ระยะเวลารอใบเขียวประมาณ 14 ปี คู่สมรสและ บุตรอายุต่ำกว่า 21 ปี ไม่สมรส จะได้ใบเขียวพ่วงมาด้วย

กรุ๊บ 4    ซิติเซ่นขอใบเขียวให้ พี่หรือน้อง สมรสหรือไม่สมรส ระยะเวลารอใบเขียวประมาณ 15  ปี คู่สมรสและบุตรอายุต่ำกว่า 21 ปี ไม่สมรสจะได้ใบเขียวพ่วงมาด้วย

คุณจะเห็นได้ว่าทันทีที่คุณได้ใบเขียว คุณสามารถยื่นขอใบเขียวให้คู่สมรส และลูกที่ไม่สมรสในเมืองไทย ได้ทันที ไม่ต้องรอเป็นปีๆให้ได้ซิติเซ่นก่อน

ตัวอย่าง

คุณมีลูกชายอายุ 30 ปี เขาอยู่กับเมียแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ทั้งสองมีลูก (หลานคุณ) ด้วยกัน 2 คน สมมติอายุ 7 และ 9 ปี ถ้าคุณยื่นเรื่องขอใบเขียวให้ลูกชายทันทีที่คุณได้ใบเขียวใน กรุ๊บ 2B  ระยะเวลารอ 7 ปี ลูกชาย และลูกเล็กทั้งสองคนได้ใบเขียวติดตามพ่อมา ตอนนั้นหลานก็อายุ 14 และ 16 ปี (ระหว่างนั้นถ้าเขามีลูกเพิ่มมาอีก เด็กก็จะได้ใบเขียวตามมาด้วย) ทันทีที่ลูกคุณและเด็กเดินทางเข้าอเมริการับใบเขียว ตัวลูกคุณสามารถบินกลับไปเมืองไทย และไป จดทะเบียนกับแม่เด็ก และยื่นเรื่องขอใบเขียวให้ภรรยาในกรุ๊บ 2Aระยะเวลารอ 1 ปี ภรรยาได้ใบเขียว เท่ากับผัว&เมียแยกกันอยู่เพียง 1 ปี ข้อเตือน  ห้ามจดทะเบียนในเมืองไทยก่อนเดินทางไปอเมริกา ต้องเข้ามารับใบเขียวในอเมริกาก่อน ถึงกลับไปจดทะเบียน ไม่อย่างนั้นเคสจะยกเลิก

เปรียบเทียบ  ตัวอย่างเดิมข้างบน กรณีลูกชายจดทะเบียนและไม่ยอมหย่า หรือภรรยาไม่ยอมหย่า คุณต้องรอให้ได้ซิติเซ่นก่อน ถึงจะยื่นเรื่องขอใบเขียวให้ลูกสมรสได้ ระยะเวลารอทั้งหมดจะเป็น 19 ปี (คุณรอทำซิติเซ่น 5 ปี รอใบเขียวในกรุ๊บ 3 อีก 14 ปี) ตอนนั้นเด็ก 2 คน(หลานคุณ) ก็จะอายุเกิน 21 ปี “เอจ์ เอ๊าท์” (age out) คือ 26 และ 28 คือ เด็กจะไม่ได้ใบเขียวพ่วงมากับพ่อ แม่

เปลี่ยนกรุ๊บ หรือ ชิฟท์ เฟอเร็นซ์” (Shift Preference)

หลังคุณยื่นเรื่องขอใบเขียว ระหว่างรอโควต้า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงกรุ๊บ เช่นคุณได้เป็นซิติเซ่น ทางอิมมิเกรชั่นก็จะเปลี่ยนกรุ๊บหรือ ชิฟท์ เฟอเร็นซ์ เช่นคุณยื่นเรื่องอยู่ในกรุ๊บ 2B คุณได้เป็นซิติเซ่นภายหลัง ก็จะเปลี่ยนจากกรุ๊บ 2B  เป็นกรุ๊บ 1 หรือ กรณีตอนคุณยื่นเรื่อง ลูกคุณจดทะเบียนสมรส คุณยื่นให้ลูกในกรุ๊บ 3 หลังจากนั้นลูกหย่าก็จะเปลี่ยนจาก กรุ๊บ 3 เป็นกรุ๊บ  1 

หวังว่าคงไม่งงนะค๊า

“เรียลไอดี” REAL ID

วันนี้คุยเรื่อง บัตร “เรียลไอดี” (Real I.D) คือ ใบขับขี่ หรือบัตรประชาชนรุ่นใหม่ ที่รัฐบาลกำหนดให้ใช้ เริ่มวันที่ 3 พฤษภาคม ปีหน้า ค.ศ. 2023 ใช้ขึ้นเครื่องบินภายในประเทศ และเข้าสถานที่ทำงานรัฐบาลกลางหรือ “เฟ็ดเดอรัล บิลดิ้งส” (Federal Buildings) ศาลรัฐบาลกลาง (Federal Courthouse) และค่ายทหาร (Military Bases) เป็นต้น ผู้ที่มีคุณสมบัติขอ“เรียลไอดี”แนะนำให้ไปทำทันทีนะคะ


โดยปกติเวลาเดินทางบินภายในประเทศ ทุกคนต้องแสดงไอดี บัตรประชาชนรัฐ หรือใบขับขี่รัฐ หรือ พาสปอร์ตที่ยังไม่หมดอายุ หลังเหตุการณ์สยองขวัญ “นายน์/อีเล็ฟเว่น” (9/11) วันที่ 11 กันยายน ปี ค.ศ. 2001 ที่ผู้ก่อการร้ายไฮแจ็คเครื่องบินและบินชนถล่มตึก “เวิร์ลด เทรด” รัฐนิวยอร์ค ผู้ก่อการร้ายได้ทำไอดีปลอมขึ้นเครื่องบิน จากเหตุการณ์นี้รัฐบาลตื่นตัว ปี ค.ศ. 2005 รัฐบาลได้สั่งให้ “กรมการขนส่ง”หรือ “ที เอ็ส เอ” (TSA ย่อมาจาก Transportation Security Administration) ดีซายน์ออกใบขับขี่หรือบัตรประชาชนใหม่ โดยเพิ่ม feature ที่ทำให้การปลอมแปลงบัตรยากมากขึ้น เรียกบัตรนี้ว่า “เรียลไอดี” บัตรใหม่จะมีรูปดาวอยู่ด้านบนขวามือ(ดูรูป) รัฐแต่ละรัฐออกแบบดีซายน์ใบขับขี่หรือบัตรประชาชนของตนเองโดยต้องมี feature ตามที่ “ที เอ็ส เอ” กำหนด กฎใหม่นี้กำหนดให้มีผลใช้ ปี ค.ศ. 2021 แต่เนื่องจาก โควิด เลยได้เลื่อนเป็นวันที่ 3 พฤษภาคม ปี 2023

ปัญหาคือ โรบินฮู้ดไม่สามารถทำ “เรียลไอดี” ได้ !!!! 😭

ใครขอ “เรียลไอดี” ได้

  1. อเมริกันซิติเซ่น
  2. ผู้ถือใบเขียว ที่ยังไม่หมดอายุ
  3. ผู้มีใบทำงานหรือ เวิร์ค เพอร์มิท ที่ยังไม่หมดอายุ
  4. ผู้ถือพาสปอร์ตประเทศของตน และมีแสตมป์ “Process for I-551” ที่ยังไม่หมดอายุ คือผู้ที่ขอใบเขียวที่สถานทูตในประเทศของตนและเดินทางเข้าอเมริกา อิมมิเกรชั่นจะแสตมป์ I-551 ให้ 1 ปี ระหว่างรอใบเขียวส่งให้ทางไปรษณีย์
  5. ผู้ที่อยู่ในอเมริกาที่ได้รับการปกป้องลี้ภัยชั่วคราว ตัวอย่าง คนยูเครนที่หนีสงคราวจากรัสเซีย Temporary Protected Status Recipients (TPS)
  6. เด็ก “ดาค่า” (DACA ย่อมาจาก “Deferred Action for Childhood Arrivals” ) คือเด็กที่พ่อแม่นำเข้ามาอเมริกาตั้งแต่เล็กๆและทิ้งให้อยู่ในอเมริกาเพื่อเรียนหนังสือ เด็กโรบินฮู้ดเหล่านี้ปัจจุบันรัฐบางอลุ่มอล่วยให้อยู่ในอเมริกาทำงานไป

โรบินฮู้ดจะบินในประเทศได้อย่างไร
โรบินฮู้ดสามารถบินในประเทศได้ โดยใช้ ใบขับขี่รัฐควบกับพาสปอร์ตที่ยังไม่หมดอายุ ปัจจุบันมี 17 รัฐที่ออกใบขับขี่ให้โรบินฮู้ด คือ รัฐคาลิฟอร์เนีย, โคโรลาโด, คอนเน็ตติคัท, เดลาแวร์, ดิสตริค ออฟ โคลัมเบียหรือ ดี ซี (D.C.), ฮาวายวิ อิลลินอยส์, แมรี่แลนด์, เนวาด้า, นิวเจอร์ซี่, นิวเม็กซิโก, นิวยอร์ค, โอริกอน, ยูท่าห์, เวอร์ม๊อนท์, เวอร์จิเนีย, และ วอชิงตัน คาดว่ารัฐแมสสาจูเส็สท์ อาจจะผ่านกฎออกใบขับขี่ให้โรบินฮู้ดเร็วๆนี้


โรบินฮู้ดที่อยู่ในรัฐที่ไม่ออกใบขับขี่ให้ ก็จะเป็นปัญหา คุณอาจวางแผนย้ายรัฐไปอยู่รัฐที่ออกใบขับขี่ให้ และหลังจากคุณสามารถแสดงหลักฐานว่าคุณมีถิ่นฐานหรือเป็น “เรสสิเด๊นท” ของรัฐนั้น คุณจึงไปขอใบขับขี่ หรืออาจรอว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือผ่อนผัน เพราะในขณะนี้ รัฐคาลิฟอร์เนียซึ่งถือเป็นรัฐที่ทันสมัยที่สุด (เป็นรัฐแรกที่ออกใบขับขี่ให้โรบินฮู้ด) กำลังคิดหาวิธีที่จะออกใบขับขี่คล้ายๆเรียล ไอดี ให้โรบินฮู้ด คือต้องมี feature ตามที่ TSA กำหนด ถ้าทำสำเร็จดิฉันคาดว่า จะมีรัฐอื่นๆตามมา ก็ต้องรอดูไปนะคะว่าจะสำเร็จไหม


นักท่องเที่ยวหรือชาวต่างชาติที่เข้ามาในอเมริกาด้วยวีซ่าที่ยังไม่หมดอายุ ตราบใดที่วีซ่าเข้าอเมริกายังไม่หมดอายุ และมี I-94* หรือบัตรขาเข้าที่ยังไม่หมดอายุ สามารถขึ้นเครื่องบินเดินทางในประเทศได้ โดยแสดงพาสปอร์ต วิธีปริ๊นท์ บัตรขาเข้า คือ คลิกเข้าไปที่ www.cbp.gov/I94 กรอกข้อมูลคุณ พาสปอร์ตนัมเบอร์ และปริ๊นท์ ฟอร์ม I-94 ออกมา

คำสอนแม่

วันที่ 22 เมษา เป็นวันเกิดแม่ คุณแม่เสียเร็วอายุเพียง 72 ปี แต่คำสอนของท่านก้องอยู่ในหูตลอด ดิฉันเคยปรับทุกข์กับแม่เรื่องลูกว่ามันดื้อ สอนอะไรไม่ฟัง แม่ตอบว่า“เราเป็นแม่ มีหน้าที่สอน สอนไปเถอะลูก สักวันก็เข้าหู” จริงค่ะ ดิฉันมาอยู่เมกาตอนอายุเพียง 18 ปี ดิฉันได้เป็นผู้เป็นคนเพราะคำสอนแม่ (พ่อ ด้วยค่ะ) คำสอนของท่านเป็นหลักวิถีการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงานของดิฉัน


โตช้าแบบต้นมะม่วง อย่าโตเร็วแบบต้นมะละกอ
เมื่อดิฉันสอบผ่านบาร์(กฎหมาย)เป็นทนายความ ปีนั้นดิฉันเปิดสำนักงานกฎหมายของตนเองทันที เช่าออฟฟิสแชร์กับทนายอีก 2 คน ตึกไฮไร๊ส์สูง 18 ชั้น ในเมือง “ลองบีช” (Long Beach) เลือกห้องมีวิวทะเล ค่าเช่า 850 เหรียญ (นับว่าแพงสำหรับสมัยนั้น) พอโทรไปบอกแม่ ท่านเงียบไปสักพักและพูดว่า ลูกค่อยไปช้าๆ โตช้าแบบต้นมะม่วงล้มยาก อย่าโตเร็วแบบต้นมะละกอ มันล้มง่าย มา ณ.วันนี้ ดิฉันเป็นทนายมา 28 ปี


เอ็นดูคนจนเอ็นขาด
หลังจากมีออฟฟิสส่วนตัวได้ไม่ถึงปี ดิฉันได้ถูกจ้างให้ไปทำงานกับ“ซิตี้แบ๊งค์”ในเมืองไทย วันหนึ่งยืนรอเรียกแท๊กซี่กลับบ้าน เห็นเด็ก 2 คนพยายามข้ามถนน รถก็วิ่งกันเร็วมาก ดิฉันรีบข้ามถนนจะไปช่วยเด็ก ตัวเองหกล้มหัวเข่าถลอกปอกเปิกส่วนเด็กวิ่งข้ามถนนปลอดภัย พอกลับบ้านเล่าแม่ฟัง แม่พูดว่า “ลูกเอ็นดูคนจนเอ็นขาด” คำสอนนี้ดิฉันมาเข้าใจภายหลัง เมื่อดิฉันรับเคสที่ลูกความทำเคสเอง หรือให้ทนาย/แทนะทำให้และเรื่องไม่ผ่าน ซึ่งดิฉันไม่ควรรับเพราะมันเละเทะ แต่ใจอ่อนรับเคสด้วยความสงสาร รับทีไรเอ็นขาดทุกที ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าแม่หมายถึงอะไร

ทำทันที
คำสอน“ทำทันที”นี้ แม่พูดซ้ำพูดซากตั้งแต่ดิฉันเด็กๆ ดิฉันคงจะชอบผลัดวันประกันพรุ่ง วันหนึ่งดิฉันกลับไปเมืองไทย ทีวี 13 นิ้วในห้องนอนแม่ไม่ทำงาน ดิฉันบอกคุณแม่ว่าพรุ่งนี้เช้าดิฉันจะมาเอาทีวีไปแก้ให้ รุ่งขึ้นดิฉันไปบ้านแม่แต่เช้า ไปถึงแบกทีวีเดินไปหน้าปากซอยให้ช่างทีวีแก้ บ่ายก็ไปรับทีวีกลับให้แม่ แม่มองด้วยสายตาชื่นชม และพูดว่า “ลูกนี่ดีนะ พูดแล้วทำทันที” ว่าว! (คิดว่าตอนนั้นดิฉันอายุปลายๆ 30) ไม่มีอะไรสายเกินไปเนอะคะ เวลาดิฉันรับเคส ดิฉันจะทำเคสทันทีไม่เคยวางค้างอยู่บนโต๊ะทำงาน

รกคนดีกว่ารกหญ้า
เพราะบ้านเราอยู่กรุงเทพ ลุงป้าน้าอายังอยู่ต่างจังหวัดกัน ลุง ป้าก็จะส่งลูกมาเรียนกรุงเทพและมาอยู่บ้านเรา จำคำคุณแม่สอนได้ว่า “รกคนดีกว่ารกหญ้า” ซึ่งคำสอนนี้ประสบกับตัวเอง ลูกความซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนดิฉันตกอับ หอบลูกเล็กย้ายกลับไปอยู่เมืองไทย 3-4 ปี เธอคุยกับดิฉันว่าต้องการกลับมาเมกาเพื่ออนาคตลูก เธอต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดิฉันคุยกับสามีว่าจะให้เพื่อนและลูกมาอยู่กับเราจนกว่าเขาจะตั้งตัวได้ ดิฉันให้เหตุผลกับสามีว่าเราให้ชีวิตคน 2 คน เท่ากับเราต่อชีวิตตัวเอง (ตอนนั้นสามีพึ่งผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดิฉันกลัวสามีอายุสั้น) เขาทั้งสองอยู่กับเราจนลูกเรียนจบไฮสกูล เพื่อนได้งานที่ลูกชายช่วยหาให้ แม่และลูกได้ดี ปัจจุบันเพื่อนรีไทร์ ลูกจบมหาวิทยาลัยทำงาน “เธอเป็นเพื่อนรักและเพื่อนตาย” ของดิฉัน เพราะคำสอนแม่ “รกคนดีกว่ารกหญ้า

ไม่จากเป็นก็จากตาย
หลังคุณพ่อเสีย ทุกครั้งไปไทย เวลาไปลาแม่ก่อนกลับเมกา ดิฉันก็จะน้ำตาไหล กลัวว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ลาแม่ คุณแม่มองดิฉันและพูดแบบสีหน้าธรรมดาที่สุดว่า “คนเรา ไม่จากเป็นก็จากตายนะ ลูก” บางครั้งดิฉันนึกถึงความรู้สึกแม่ ตอนดิฉันจากไปอเมริกาอายุเพียง 18 ปี ท่านคงหัวใจแทบขาด ฮือๆๆ


นมยานฟัดอก
คำสอนส่งท้ายค่ะ ทุกครั้งที่ดิฉันประสาทเสียกับลูก จะนึกถึงคำสอนแม่ว่า ลูกเปรียบเสมือน “นมยานฟัดอก” ดิฉันนึกภาพลูก 2 คนของดิฉัน ห้อยปุเลงๆบนอกดิฉันและดิฉันต้องพาด 2 ลูกอยู่บนไหล่ไปจนตาย สำหรับผู้ที่มีลูก หลาน คงเข้าใจนะคะ ☺️
แด่คุณแม่ที่รัก

ภาษาโรม๊านซ์ หรือ ภาษาชาวบ้าน

Happy Spring ค่ะ แฮ็ปปี้ สปริง ฤดูใบไม้ผลิค่ะ เริ่มเมื่อวันที่ 20 มีนา อากาศคาลิฟอร์เนียสบาย ค่อยๆหายหนาว ใบไม้เริ่มเขียวชอุ่ม วันนี้เขียนเรื่องเบาๆนะคะ
ตั้งแต่ดิฉันเรียนภาษาเสปญ(สแปนิช)ก็หลงรักภาษามาก สแปนิชเป็นภาษาที่ไพเราะ ออกเสียงง่าย โดยอ่านตามคำสะกด คือออกเสียงทุกพยัญชนะ (phonetic language) ทำให้เรียนง่าย และใช้เสียงหนักแบบภาษาไทยเช่น ตัว P อ่านออกเสียงตัว ป ตัว T อ่านออกเสียงตัว ต ตัว C ออกเสียงตัว ซ แต่ต้องเอาลิ้นดันฟันบน สแปนิช เป็นภาษาที่ใช้มากอันดับสองของโลกรองจากภาษาจีนกลาง ภาษาสแปนิชเป็นภาษาในกลุ่ม“ภาษาโรม๊านซ์” หรือ“โรม๊านซ์ แลงเกว็จ” (Romance language) เป็นหนึ่งในหกภาษาทางการระบุโดยสหประชาชาติ หกประเทศหลักที่ใช้“ภาษาโรม๊านซ์” คือ ประเทศเสปญ โปรตุเกส ฝรั่งเศส อิตาลี โรมาเนีย และ กาตาลัน ฉะนั้นถ้าคุณรู้ภาษาสแปนิช คุณจะพอเข้าใจและกระดิกหูภาษา อิตาเลียน และฝรั่งเศษ


โรม๊านซ์ แลงเกว็จ” คืออะไร
“โรม๊านซ์ แลงเกว็จ” หรือ ภาษาโรม๊านซ์ ไม่ได้หมายถึง“ภาษาแห่งความรัก” ตามที่ดิฉันเคยเข้าใจผิด ศัพท์คำว่า“โรม๊านซ์” (Romance) โดยใช้ตัวพิมพ์ R ตัวพิมพ์ใหญ่ หมายความว่า “โรมัน” หรือ “โรมานิซ” (Romanice) เป็นศัพท์ชาวบ้าน เรียก “วัลก้าร์ ลาติน” (Vulgar Latin) แปลว่า“ลาติน หยาบคาย” คำ “โรมานิซ” ย่อมาจากภาษาลาตินเก่า“โรมานิคัส” (romanicus) แปลว่า“การพูดแบบชาวโรมัน” (speak in Roman) ซึ่งต่างจาก “ลาติน โลกิ” (latine loqui) แปลว่า“การพูดภาษาลาติน” (to speak in Latin)


ภาษาลาติน(เก่า) เป็นภาษาโบราณตั้งแต่ก่อนคริสตศักราช มีต้นกำเนิดในพื้นที่จักรวรรดิโรมันคือพื้นที่รอบๆกรุงโรม ภาษาลาตินเป็นภาษาที่เขียนยาก อ่านยาก และเข้าใจยาก เจ้าขุนมูลนายหรือผู้มีการศึกษาเท่านั้นที่จะอ่านออกเขียนได้ หลังจากจักรวรรดิโรมันค่อยๆล่มสลาย ประมาณปี ค.ศ. 376 ดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันต่างค่อยๆแยกไปอยู่ใต้การปกครองของชนกลุ่มต่างๆ ภาษาลาตินเก่านี้จึงถูกตัดขาดออกจากภาษาถิ่นในดินแดนอื่นๆ และมีวิวัฒนาการอย่างช้าๆ จนเกิดเป็นภาษาลาตินใหม่ หรือภาษา “โรม๊านซ์”


ปัจจุบันภาษาลาตินเก่าไม่ใช่ภาษาแม่ของพลเมือง หรือประเทศใดๆ แต่ยังเป็นภาษาที่ใช้ในพิธีสวดของโรมันคาทอลิก นักเทววิทยา นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และใช้ในภาษากฎหมาย แม้ภาษาละตินในปัจจุบันจะมีผู้ใช้น้อยมากจนถูกนับว่าเกือบเป็นภาษาสูญแล้ว แต่การศึกษาภาษาลาตินในโรงเรียนและในมหาวิทยาลัยก็ยังคงมีอยู่มากโดยเฉพาะในยุโรป พี่เขยดิฉันคนเยอรมันเคยถามตอนดิฉันเริ่มเรียนกฎหมายว่า ในอเมริกาบังคับให้เรียนภาลาตินก่อนเรียนกฎหมายไหม เพราะหลักสูตรของเยอรมันบังคับให้เรียนหลักสูตรภาษาลาตินก่อน 1 ปี ก่อนที่จะเข้าเรียนกฎหมายได้ พี่เขยดิฉันได้เสียชีวิตไปตุลาที่แล้ว (ฮือ ฮือ เศร้ามาก ดิฉันชอบคุยกับพี่เขย เขาเหมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ เขามีความรู้ลึกมาก) เลยไม่รู้จะถามใครว่าหลักสูตรเยอรมันปัจจุบัน ยังคงต้องเรียนลาตินก่อนเรียนกฎหมายหรือไม่


ภาษาทนาย
ทนายเมื่อเรียนกฎหมาย จะมีคำศัพท์ ประโยคและ โวหารภาษาลาตินบ่อยครั้ง ซึ่งเราต้องรู้ความหมาย คำภาษาอังกฤษหลายคำมาจากภาษาลาติน และอังกฤษใช้ทับศัพท์ ศัพท์ประจำที่ปรากฎในฟอร์มอิมมิเกรชั่น คือคำ
แอ๊ฟฟิเดวิท (affidavit) ปรากฎในฟอร์ม “แอ๊ฟฟิเดวิท อ๊อฟ ซัพพอร์ท” (affidavit of support) ผู้ยื่นขอใบเขียว เป็นสปอนเซอร์ต้องเซ็นใบรับรองซัพพอร์ท หรือกรณีเขียนจดหมายในรูป “แอ๊ฟฟิเดวิท” หมายความว่าผู้เขียนให้คำสัตย์ปฏิญาน หรือสาบานว่าข้อมูลเป็นความจริง ถ้าคุณโกหกหรือให้ข้อมูลเท็จ โทษจะรุนแรงมากกว่าโกหก
โบนา ไฟด์ (bona fide) ในศัพท์อิมมิเกรชั่นใช้กับคำว่า “โบนาไฟด์ แมริเอจ” (bonafide marriage) ใช้ศัพท์นี้กรณีทำใบเขียวแต่งงาน การแต่งงานของคุณต้องเป็นการแต่งงานจริง หมายความว่า มีเจตนาที่จะอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา ซึ่งมีองค์ประกอบหลายข้อที่ใช้เป็นเครื่องตัดสิน ไม่ใช่เพียงอยู่บ้านเดียวกัน เป็นต้น


เพลน อิงลิช ลอว์ (Plain English Law)
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ภายใต้ “เพลน อิงลิช ลอว์” ระบุดังนี้ สถานที่รัฐบาล ธุรกิจร้านค้า บริการเซอร์วิสต่างๆ ให้เขียนสัญญาหรือเอกสารด้วยการใช้ ภาษาอังกฤษเรียบๆ หรือ “เพลน อิงลิช” (Plain English) ที่คนทั่วไปสามารถอ่านและเข้าใจได้ คำว่า “เพลน อิงลิช” หมายความว่า ภาษาที่คนมีความรู้เทียบเท่าเด็ก เกรด 8 สามารถอ่านและเข้าใจได้ และถ้าเอกสารใดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงใช้ศัพท์หลักวิชาการ (Technical words) ก็จะต้องเขียนข้อความสรุปย่อๆอธิบายกำกับ


การแปลสัญญา
ตามกฏหมายเวลาคุณต้องเซ็นสัญญา และสัญญานั้นเขียนโดยบริษัทไม่ว่าจะเป็นนายจ้าง อู่ซ่อมรถ สัญญาบริษัทประกัน หรือเจ้าของบ้าน เป็นต้น ถ้าสัญญานั้นฝ่ายผู้ร่างสัญญาเอาเปรียบอีกฝ่าย เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นและสัญญานั้นเขียนกำกวม ศาลจะแปลความหมายของสัญญานั้นเข้าข้างฝ่ายที่ไม่ได้เขียน

เดือนมีนาคม เดือนสดุดีผู้หญิง

วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันประวัติศาสตร์ของผู้หญิงในอเมริกา เดือนมีนาคมทั้งเดือนเป็น “เดือนประวัติศาสตร์ของผู้หญิง” หรือ “วีเม็นส ฮิสตอรี่ มันท์ซ” (Women’s History Month) ในอเมริกาและอีกหลายประเทศทั่วโลก ฉลองและรำลึกถึงวีรสตรีที่ต่อสู้เพื่อสิทธิและความเสมอภาคของผู้หญิงมาในประวัติศาสตร์มาถึง ณ. วันนี้ คอลัมน์นี้เขียนสดุดีผู้หญิงอเมริกัน (ดิฉันลงเพียง 7 คน) ที่ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ในอเมริกา

ที่มาที่ไป
วันฉลอง “วันประวัติศาสตร์ของผู้หญิงในอเมริกา” เกิดขึ้นครั้งแรกวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1978 (ดูรูป) ในรัฐคาลิฟอร์เนีย เมือง ซานตา โรซ่า (Santa Rosa) เขต“โซโนม่า เคาน์ตี้” (Sonoma County) ตอนเหนือของรัฐ
สองปีต่อมา ปี ค.ศ. 1980 ประธานาธิบดี จิมมี่ คาร์เต้อร์ (Jimmy Carter) ได้ออกประกาศ ตั้งวันที่ 8 มีนา และทั้งสัปดาห์ เป็นสัปดาห์ประวัติศาสตร์ของผู้หญิง “วีเม็นส ฮิสตอรี่ วี๊ค” (Women’s History Week) ค.ศ. 1987 ตามด้วย 14 รัฐ ประกาศให้เดือนมีนาคมเป็นเดือนประวัติศาสตร์ของผู้หญิง “วีเม็นส ฮิสตอรี่ มันท์ซ”

วันฉลองวันประวัติศาสตร์ของผู้หญิง ครั้งแรก

ไทม์ ไลน์ การต่อสู้ของผู้หญิงในอเมริกา
ปี ค.ศ. 1492 “คริสโตเฟอร์” (Christopher Columbus) ค้นพบดินแดนใหม่ “อเมริกา” ผู้อพยพรุ่นแรกคือชาวอังกฤษ ฝรั่งเศษ และดัทช์ หลั่งไหลเข้ามาในดินแดนใหม่นี้เพื่อแสวงหาเสรีภาพทางศาสนา อเมริกาได้สมญานามว่า“ดินแดนแห่งผู้อพยพ”
ปี ค.ศ. 1619 เรือชาวดัทช์ลำแรกที่เข้ามาที่เมืองเจมส์ทาวน์รัฐเวอร์จิเนีย เอาคนผิวดำอัฟริกันมาเต็มลำเรือ เพื่อมาทำงาน แต่ได้นำพวกเขามาขายเป็นทาส
ชาวอังกฤษผู้อพยพรุ่นแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในอเมริกาอยู่ภายใต้ความปกครองของประเทศอังกฤษ ได้ขยายพื้นที่ไปเรื่อยจนเป็น 13 อาณานิคมแรก เรียงลำดับจากตะวันออกเฉียงเหนือถึงตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของขุนนางอังกฤษและต้องเสียภาษีให้อังกฤษ ในที่สุดพวกอาณานิคมปฏิวัติเกิดสงครามระหว่างผู้อพยพและกองทัพอังกฤษ อเมริกาได้ประกาศอิสระภาพจากประเทศอังกฤษ วันที่ 4 กรกฎาคม 1776 นาย จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา

ชนชั้นสอง ผู้หญิงและคนผิวดำ
ตั้งแต่สร้างประเทศใหม่ 200 กว่าปีมาแล้ว ผู้หญิงและคนผิวดำถือเป็นชนชั้นสอง ตามกฎหมายผู้หญิงเมื่อแต่งงานเธอตกเป็น“สมบัติ”ของสามี สามีมีสิทธิตบตีและทำทารุณกรรมเมีย สมบัติของผู้หญิงมีมาก่อนแต่งงานสามีมีสิทธิซื้อขายได้ ผู้หญิงทำพินัยกรรมไม่ได้ ผู้หญิงไม่มีสิทธิซูสามีต้องเป็นคนซูให้ ส่วนคนผิวดำ ตามกฎหมาย ทาสเป็น“สมบัติ”ของเจ้านาย เจ้านายมีสิทธิทำทารุณกรรมได้ ผู้หญิงและคนผิวดำไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง

สงครามกลางเมือง
ปี ค.ศ. 1861-1865 ความตึงเครียดระหว่างรัฐทางเหนือและรัฐทางใต้ต่อต้านทาสมีมากขึ้น รัฐทางเหนือต้อวการให้เลิกทาส ส่วนรัฐทางใต้ต้องการมีทาส จนกลายเป็นสงครามกลางเมือง “ซิวิลวอร์” (Civil War) จนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมือง รัฐทางเหนือชนะ หลังสงครามสิ้นสุด รัฐบาลผ่าน บทเฉพาะการ 3 ฉบับคือ
บทเฉพาะการฉบับที่ 13 ผ่าน วันที่ 6 ธันวา ค.ศ. 1865 เลิกทาส
บทเฉพาะการฉบับที่ 14 ผ่าน วันที่ 9 กรกฎา ค.ศ. 1868 ระบุทุกคนที่เกิดในแผ่นดิน ถือว่าเป็นอเมริกันซิติเซ่น จุดประสงค์ เพื่อให้คนผิวดำทุกคนที่เกิดในอเมริกา เป็นซิติเซ่น คือไม่ใช่สมบัติของเจ้านายต่อไป
บทเฉพาะการฉบับที่ 15 ผ่าน วันที่ 30 มีนา ค.ศ. 1870 ระบุว่าคนผิวดำออกเสียงเลือกตั้งได้

สตรีที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ในอเมริกา
นาง อลิซาเบท เคดี้ แสตนตัน (Elizabeth Cady Stanton)
นาง อลิซาเบท เคดี้ แสตนตัน เกิดปี ค.ศ. 1815 เมือง จอนสเทาวน์ รัฐนิวยอร์ค ตาย ค.ศ. 1902 เธอมาจากตระกูลมั่งคั่ง พ่อเป็นทนายความชื่อดังและเป็นผู้พิพากษานิวยอร์คศาลสูงสุด และยังเป็นสมาชิกคองเกรส เธอได้อ่านหนังสือกฎหมายของพ่อตั้งแต่เล็กๆ เธอจำได้ว่าพ่อเธอได้บอกผู้หญิงที่ถูกสามีทารุณกรรมในคดีที่ตัดสินว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ฉะนั้นต้องทน นางอลิซาเบทมีการศึกษาสูง เป็นหญิงที่กล้าพูดในที่สาธารณธะ และต่อต้านความไม่เสมอภาคของผู้หญิง ค.ศ. 1840 เธอได้แต่งงานกับผู้ชายที่พ่อไม่เห็นด้วย เพราะเขาไม่รวย นาย“เฮ็นรี่ แสตนตัน” สามีเธอเป็น ตัวแทน “กลุ่มอเมริกันต่อต้านทาส”หรือ “เดอะ อเมริกัน แอนไท-สเลฟเวอรี่ โซซายอตี้” (The American Anti-Slavery Society) หลังแต่งงานเธอและสามีไปฮันนีมูนที่ กรุงลอนดอน เธอและสามีไปร่วม “คอนเวนชั่น” เกี่ยวกับการต่อต้านทาสระดับโลก เมื่อไปถึงคอนเวนชั่น ทางเจ้าหน้าที่ห้ามไม่ให้เธอและผู้หญิงอีกคนหนึ่งชื่อนาง “ลูเครเทีย ม็อท” (Lucretia Mott) เข้าไปในคอนเวนชั่น ทั้งสองสาวโกรธมากๆ เพราะให้ผู้ชายเข้าเท่านั้น เหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นแรงผลักดันให้นาง อลิซาเบท เริ่มวงการต่อสู้เพื่อสิทธิผู้หญิง หลังกลับจากฮันนีมูน เธอและสามีได้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านใน เขต “เซเนคา ฟอลส์” รัฐนิวยอร์ค

นางอลิซาเบท ได้เริ่มมีการชุมนุมเริ่มจากกลุ่มผู้หญิงเล็กๆมาพบปะดื่มชากัน ถกกันเรื่องสิทธิและความไม่เสมอภาคของผู้หญิง ตั้งแต่ไสตล์การแต่งตัว ไปจนถึงสิทธิในการออกเสียง และต่อต้านการค้าทาส จากกลุ่มเล็กได้ขยายเป็นกลุ่มใหญ่ จากพบปะกลายเป็นการประชุมประจำ จากบ้านไปประชุมที่โบสถ์ ณ. ที่นั่นเธอได้พบและรู้จักกับนาง ซูซาน บี แอนโทนี่ (Susan B Antony) และกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1850 ไป กลุ่มสตรีมีการจัดประชุม “วีเม็นส์ไรท์ คอนเวนชั่น” (Women’s Rights Conventions) ทุกปี จนกระทั่งเกิดสงครามกลางเมือง “ซิวิล วอร์” ปี ค.ศ. 1861-1865

ซูซาน บี แอนโทนี่ (Susan B Anthony)
โวหาร: ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ดีพอที่จะปกครองผู้หญิง โดยปราศจากความยินยอมของเธอ
ซูซาน บี แอนโทนี่ เกิดปี ค.ศ. 1820 เมือง อดัมส์ รัฐ แมสสูเซ็ท ตาย ปี ค.ศ. 1906 เธอเป็นผู้หญิงที่สำคัญมากคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เรียกร้องต่อสู้การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของผู้หญิง ตอนเธอทำงานเป็นครูอายุเพียง 28 ปี เธอได้เงินเดือนๆละ $10 เธอมารู้ภายหลังว่าครูผู้ชายได้เงินเดือน $12.50 มากกว่าผู้หญิง $2.50 เธอได้เข้าเป็นสมาชิกสหกรณ์ครู เพื่อเรียกร้องเงินเดือนเท่าเทียมกัน ซึ่งไม่สำเร็จ หลังจากนั้นเธอ “แอ๊คทีฟ” ต่อสู้เพื่อความเสมอภาคระหว่างหญิงชาย เธอได้เข้าร่วมตั้งองค์กรผู้หญิง เธอเดินทางไปคอนเวนชั่นและไปปราศรัยตามรัฐต่างๆ นอกจากนั้นเธอได้ร่วมกับ นาง แฮเรียท ทับแมน ต่อต้านให้เลิกทาส เธอเรียกร้องสิทธิให้ผู้หญิงมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เดือน พฤษจิกายน ค.ศ. 1872 เธออายุ 52 ปี เธอได้ลงทะเบียนออกเสียงเลือกตั้ง และไปลงเสียงเธอถูกจับ และขึ้นศาล ศาลสั่งปรับ $100 ซึ่งเธอไม่ยอมจ่ายและท้าให้ผู้พิพากษาจับเธอเข้าห้องขัง แต่ผู้พิพากษาไม่ออกหมายสั่งจับ เพราะถ้าขึ้นศาลเธอสามารถนำคดีต่อสู้ไปถึงศาลสูงสุดได้ ปี ค.ศ. 1920 รัฐธรรมนูญ อเม็นด์เม๊นท์บทเฉพาะการฉบับที่ 19 ผ่าน ให้สิทธิผู้หญิงออกเสียงเลือกตั้งได้

กลุ่มสตรีเดินพาเหรดถือโปสเต้อร์มีลายเซ็นมากกว่าล้านคน เรียกร้องสิทธิในการเลือกดตั้ง ปี ค.ศ. 2019

รียท ทับแมน (Harriet Tubman)
นาง แฮเรียท ทับแมน เกิดปี ค.ศ. 1822 ตาย 1913 อายุ 91 ปี เกิดในรัฐ แมรี่แลนด์ เธอเกิดมาจากพ่อแม่ทาส ตอนเธอแต่งงานอายุ 22 ปี เจ้านายเธอตาย และเธอถูกขาย เธอถือโอกาสหนีตอนนั้น หลังจากหนีสำเร็จ เธอได้กลับไปช่วยเหลือครอบครัวและคนผิวดำในรัฐแมรี่แลนด์ 13 ครั้ง ระหว่างสงครามกลางเมือง เธอเข้าร่วมทหาร เป็นคนครัว สปาย และ พยาบาล เธอได้รู้จักกับ ซูซาน บี แอนโทนี่ เธอเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยร่วมในหน่วยงานใต้ดินเรียก “อันเด้อร์ กราวนด์ เรลโรด” (Underground Railroad) ระหว่างช่วงปี ค.ศ. 1860-1865 เธอลักลอบช่วยพวกทาสผิวดำหลบหนี จากทางรัฐตอนใต้ ไปรัฐทางเหนือรัฐอิสระ บ้างไปถึงประเทศแคนาดา (ตอนนี้มี ซีรีส Underground Railroad ทาง ไพร์ม ทีวี ลองดูสิคะ กินใจมากๆเลย)

ใต้รูปเธอเขียนว่า “I was the of the conductor of the Underground Railroad for eight years, and I can say what most conductors can’t say — I never ran my train off the track and I never lost a passenger.”

“ฉันเป็น“คอนดั๊กเต้อร์” คนขับรถไฟ (โค๊ดลับคำว่า “คอนดั๊กเต้อร์” แปลว่าผู้ ช่วยทาสหลบหนี) ของ รถไฟใต้ดิน (อันเด้อร์ กราวนด์ เรลโรด) มา เป็นเวลา 8 ปี และฉันพูดได้เต็มปาก ว่า “รถไฟไม่เคยตกราง” (คือเธอไม่เคยถูกจับได้) และฉันไม่เคยศูนย์ “ผู้โดยศาลเลย” (คือพวกทาสที่หนี)

โรซ่า พาร์คส (Rosa Parks)
นาง โรซ่า พาร์คส หญิงผิวดำนักต่อสู้เพื่อความเสมอภาคระหว่างผิว เกิดในรัฐ อลาบาม่า ค.ศ. 1913 ตายปี 2005 หลังสงครามกลางเมืองสิ้นสุดปี ค.ศ. 1865 คนดำก็ยังถูกกีดกัน และมีการแยกผิวมาตลอด ปี ค.ศ. 1896 ศาลได้ตัดสินในคดี Plessy v. Ferguson เป็นคดีบรรทัดฐาน ว่า การแบ่งแยกระหว่างผิวถือว่าไม่ละเมิดสิทธิรัฐธรรมนูญตราบใดที่ รัฐบาลจัดที่เฉพาะให้คนผิวดำ ถือว่าเท่าเทียมกัน “เซพพาเรท บัท อีควล”( separate but equal ) แปล “แบ่งแยก แต่เท่าเทียม” ??????? เช่น รัฐบาลจัดโรงเรียนสำหรับเด็กผิวดำ เท่านั้น (ปัญหาคือ โรงเรียน เด็กผิวดำมีโรงเรียนเดียวอยู่ไกล เด็กผิวดำต้องเดินไปโรงเรียนซึ่งไกลมาก) นั่งรถเมล์แบ่งแยกแถวนั่ง จัดคนดำนั่งข้างหลังมีไม่กี่แถว คนขาวนั่งด้านหน้า ห้องน้ำสาธารณะแยกระหว่างคนขาวและดำ เหตุการณ์นางโรซ่าเกิดขึ้นคือ ทุกวันเธอต้องนั่งรถบัสไปทำงานทุกวัน และมักจะสายเพราะที่นั่งด้านหลังเต็ม วันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1955 ไม่มีที่นั่งอย่างเคย เธอตัดสินใจนั่งด้านหน้า และไม่ยอมลุกให้คนขาวนั่ง การกระทำของเธอครั้งนี้ เกิดทำให้ระอุขึ้นมา คลใจให้บาทหลวง มาร์ติน ลูเท่อร์ คิง (Martin Luther King) เริ่มตั้งกลุ่มเดินขบวนเรียกร้องความเสมอภาคมาตลอด การเรียกร้องความเสมอภาคของคนผิวดำยังมีมาถึงปัจจุบัน ตอนดิฉันเรียนกฎหมายดิฉันได้อ่านเคสของเธอละเอียด ตอนนั้นเธอยังมีชีวิตอยู่ และชื่นชมเธอมากๆ

เชอรี่ ชิสโฮล์ม Shirley Chisholm
นาง เชอรี่ ชิสโฮล์ม กิด ค.ศ. 1924 ตาย ค.ศ. 2005 เธอเป็นหญิงผิวดำคนแรกที่ได้ ถูกเลือกเป็นสมาชิกคองเกรสใน ปี ค.ศ. 1968 และในปี ค.ศ. 1972 เธอลงเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดี พรรคเดโมแครท แต่เธอตกรอบ กัฟวันเน่อร์ “จอร์จ แม็คกัฟเว็น” (George McGovern) ได้เป็นตัวแทนพรรค แต่แพ้ “ริชาร์ด นิคสัน” (Richard Nixon) สังกัดพรรค รีพับบลิคกัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี โวหารของเธอคือ “คุณไม่สามารถเจริญก้าวหน้าหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ถ้าคุณยืนได้แต่ยืนคร่ำครวญและบ่นอยู่ข้างหลัง คุณจะก้าวหน้าได้ถ้าคุณนำความคิดนั้นและนำมาดำเนินการ”

ฮิลลารี่ คลินตัน Hillary Clinton

“นางฮิลลารี่ คลินตัน” (Hillary Clinton) (ภรรยา อดีตประธานาธิบดี คลินตัน) ระหว่างปี ค.ศ. 1993 ถึง 2001 เกิด ค.ศ. 1947 ที่ ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ปัจจุบันอายุ 74 ปี ปี ค.ศ. 2016 เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับเลือกเป็น เพรสสิเด๊นท์เชียล แคนดิเดท พรรคเดโมแครท แข่งชิงตำแหน่งกับ “โดนัลด์ ทรัมพ์” ตัวแทนพรรครีพับบลิคกัน เธอแพ้ ทรัมพ์ชนะได้เป็นประธานาธิบดี ระหว่างปี ค.ศ. 2017-2021
ระหว่างเธอเป็นสตรีหมายเลขหนึ่ง ปี ค.ศ. 1993 ถึง 2001 เธอได้ไปปราศรัยสถานที่ต่างๆและเธอต่อสู้เพื่อความเสมอภาคของผู้หญิงและเรียกร้องสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงมาตลอด คำปราศรัยที่จารึกในประวัติศาสตร์ของเธอคือคำปราศรัยในเบจิง ประเทศจีน วันที่ 9 กันยา1995 นางคลินตันกล่าวประโยค “Human rights are women’s rights and women’s rights are human rights” “สิทธิมนุษยชนคือสิทธิผู้หญิง สิทธิผู้หญิงคือสิทธิมนุษยชน” คือมันแยกกันไม่ได้ โวหารนี้ถูกจารึกเป็นอันดับ 35 ในจำนวน 100 วาทศิลป์ มีชื่อของอเมริกัน

คามาล่า แฮริส Kamala Harris

นาง“คามาล่า แฮริส” (Kamala Harris) แฮริส เกิด ค.ศ. 1964 เกิดที่เมือง โอ๊คแลนด์ รัฐคาลิฟอร์เนีย ปัจจุบันอายุ 57 ปี บิดาเป็นคนผิวดำ มารดาเป็นคนอินเดีย ปัจจุบัน เธอเป็นรองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอเมริกา ในคณะรัฐบาล โจเซฟ ไบเดน (Joseph Biden) ระหว่างปี ค.ศ. 2021 – 2025

ระยะเวลาทำใบเขียวและซิติเซ่นเร็วขึ้น

สวัสดีปีใหม่ตรุษจีนค่ะ Happy Lunar New Year ดิฉันเริ่มต้นปีใหม่เซ็งนิดๆเพราะรู้สึกความหวังที่อยากกลับเมืองไทยใจจะขาด มันริบหรี่เหลือเกิน ดิฉันไม่กลัวโควิด พ่อแม่ลูก 3 คนแข็งแรง แต่กลัวว่าถ้าลูกหรือสามีไปติดโควิดในเครื่องบิน และต้องเข้าโรงพยาบาลในเมืองไทยล่ะ ดิฉันไม่ไว้ใจโรงพยาบาล เฮ้อ! คุยเรื่องอื่นแล้วกันนะคะ

คุยเรื่องอิมมิเกรชั่น ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าสำหรับโรบินฮู้ด เดือนกุมภาปีที่แล้ว หนึ่งเดือนหลัง ประธานาธิบดี “ไบเดน” เข้ารับตำแหน่ง “ไบเดน” ได้สัญญาว่าจะเสนอร่างกฎหมาย “บิล” ปฎิรูปกฎหมายอิมมิเกรชั่นรวมทั้งอภัยโทษให้โรบินฮู้ด “บิล”นี้ยังติดอยู่ในสภาค่ะ ยังต้องมีการต่อรองกันอีกเยอะ ทั้ง 1 ปีที่ผ่านมาถึง ณ. วันนี้ สถานการณ์รอบตัวและสถานการณ์โลกก็ไม่ได้ช่วย รัสเซียอาจบุกประเทศยูเครนได้ทุกเวลา ไวรัสสายพันธ์ใหม่ “ออมมิครอน” (omicron) ระบาด ผู้ลี้ภัยจากอัฟกานและผู้ลี้ภัยที่ติดอยู่สถานกักกันชายแดนจำนวนมากที่รัฐบาลต้องหาที่ลงให้พวกเขา ค่าครองชีพ“อินเฟลชั่น” (inflation) ในประเทศก็สูงขึ้นๆ “ไบเดน” รับภาระหนัก อิมมิเกรชั่นก็ค้างเติ่งอยู่ในสภา เฮ้อ! (ครั้งที่สอง)

คุยเรื่องที่ “แฮ็ปปี้” ขึ้นหน่อย ระยะเวลาการทำใบเขียว และซิติเซ่นเริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่รัฐบาล “ไบเดน” เข้า ท่านได้ยกเลิก 2 กฎหมายที่ ประธานาธิบดี “ทรัมพ์” ผ่านออกมาปีสุดท้ายก่อนหมดสมัย ทำให้การขอใบเขียวและสอบซิติเซ่นยากขึ้น อันแรก (1) คือกฎที่ผู้ขอใบเขียวต้องพิสูจน์ว่าจะไม่เป็นภาระสังคม โดยในทางอ้อมดูการศึกษา อาชีพ และอายุของผู้ขอใบเขียว และสอง (2)  “ทรัมพ์” เปลี่ยนข้อสอบซิติเซ่นจาก 100 ข้อ เป็น 128 ข้อ และเพิ่มคำถามจาก 10 ข้อเป็น 20 ข้อ และผู้สอบต้องตอบคำถามถูก 12 ข้อ แทนที่จะเป็น 6 ข้อ  เท่ากับกีดกันไม่ต้องการให้คนต่างชาติเป็นซิติเซ่นได้ง่ายๆ “ไบเดน” ได้เลิกสองกฏนี้ทันที

ระยะเวลาทำใบเขียวและซิติเซ่นเร็วขึ้น

เคสขอใบเขียวในอเมริกา ใบเขียวแต่งงาน ใบเขียวให้พ่อแม่ และลูกอายุต่ำกว่า 21 ปีไม่แต่งงาน  ช่วงรัฐบาล “ทรัมพ์” ใช้เวลาประมาณ18-24 เดือนขึ้นไป หลังรัฐบาล “ไบเดน” เข้ามา ปีที่แล้วเคสใบเขียวใช้เวลาเร็วขึ้นประมาณ 15-18 เดือน เคสล่าสุดที่ดิฉันพึ่งยื่นเดือนธันวา ลูกความได้นัดไปพิมพ์นิ้วมือ 1 เดือนหลังยื่น ซึ่งก่อนหน้านี้เกือบ 6 เดือนกว่าจะได้นัดพิมพ์นิ้วมือ แสดงว่าจะเร็วขึ้น คงไม่เกิน 1 ปีหรือเร็วกว่านั้น

ส่วนผู้ที่อยู่เมืองไทยขอใบเขียวจากเมืองไทยและสัมภาษณ์ที่สถานทูต ใบเขียวแต่งงาน ใบเขียวให้พ่อแม่ และลูกอายุต่ำกว่า 21 ปีไม่แต่งงาน  ยังกะไม่ได้ว่าจะเร็วขึ้นไหม ระยะเวลาที่อิมมิเกรชั่นดำเนินเรื่องและเคสแอ็พพรูฟเป็นปกติ แต่เมื่อเรื่องไปถึงสถานทูต ยังใช้เวลารอเรียกสัมภาษณ์นาน เนื่องจาก COVID สถานทูตปิดทำการอยู่ช่วงหนึ่ง และคิวนัดสัมภาษณ์น้อยลงต่อวัน ปัจจุบันยังใช้เวลาประมาณ 18-24 เดือน

เคสทำซิติเซ่นเร็วขึ้นมาก

สำหรับเคสทำซิติเซ่น ช่วงรัฐบาล “ทรัมพ์” ใช้เวลาประมาณ 18-24 เดือน  หลังรัฐบาล “ไบเดน” เข้า เคสเร็วขึ้นประมาณนับจากวันยื่นถึงวันเรียกสัมภาษณ์ 9-12 เดือน แต่เคสที่ดิฉันพึ่งยื่นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ลูกความได้สัมภาษณ์ภายใน 4 เดือนและได้สาบานตนเป็นซิติเซ่น 3 สัปดาห์ให้หลัง

สำหรับดิฉันทำหน้าที่ตนเองต่อไปให้ดีที่สุดในแต่ละวัน เคสอิมมิเกรชั่นแต่ละเคสผ่านไปด้วยดี ลูกความมีความสุขถึงแม้จะล่าช้าแต่ผลลัพท์คุ้มค่า วันนี้เช้าตื่นมาได้รับไลน์จากลูกความเขาตื่นเต้นมากพึ่งสัมภาษณ์ใบเขียวผ่านที่สถานทูต(แม่แอ็พพลายให้ลูกชาย)  ส่วนแม่ส่งวีดีโอรูปเธอร้องไห้โฮเมื่อรู้ว่าลูกผ่าน ระยะเวลารอเกือบ 9 ปี ผลลัพท์ที่ได้คุ้มค่า ดิฉันดูวีดีโอแม่ก็น้ำตาไหลเช่นกัน ดิฉันจะแฮ็ปปี้มากและกระโดดโลดเต้นทุกครั้งที่เคสแต่ละเคสผ่าน สามีเห็นก็จะรู้ทันทีว่าดิฉันมีเคสผ่าน ดิฉันเคยได้ยินมาว่า “อาชีพหมอ หมอที่ผ่าตัดคนไข้และคนไข้ตายบนเตียงผ่าตัด และหมอไม่มีความรู้สึกอย่างใด หมอควรจะรีไทร์ได้” เวลาสามีถามดิฉันว่าเมื่อไรจะรีไทร์ ดิฉันจะตอบว่าเมื่อไรที่เคสผ่านดิฉันไม่กระโดดโลดเต้น วันนั้นดิฉันจะรีไทร์ 😃

สวัสดีปีใหม่ ส่งท้ายโควิดปีที่สอง

สวัสดีปีใหม่ค่ะแฟนๆคอลัมน์ คอลัมน์นี้ดิฉันลงรูปกิจกรรม 12 เดือน และสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเราในปี 2021 ที่ผ่านมา เริ่มจากเดือนธันวาไปถึงมกราคม ดิฉันเชื่อว่าชีวิตแต่ละคนเปลี่ยนไปมากในระยะ 2 ปี เนื่องจากโควิดระบาด สำหรับครอบครัวดิฉันเราพยายามดำรงชีวิตอย่างปกติมากที่สุด เขตออเร๊นจ์เคาน์ตี้ที่ดิฉันอยู่เข้มงวดน้อยกว่าเขตแอลเอ เราออกไปเดินพาร์คทุกวัน ไปทานข้าวร้านอาหารได้ไม่ต้องโชว์ว่าฉีดวัคซีน ลูกชายกลับไปทำงานอาสาสมัครตามเดิม ที่บ้านมีคลาสโยคะปกติ 6 วันต่อสัปดาห์ ดิฉันสูญเสียสมาชิกครอบครัวสองคน พี่เขย (สามีพี่สาวคนโต อยู่เยอรมันี)และลูกเขย ทั้งสองตายด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สงสารพี่สาวและหลานชายมากสุดๆที่พ่อตายอายุยังน้อย

ดิฉันได้บัตรอวยพรคริสมัสการ์ด 2 ใบ ดิฉันขอแชร์กับคุณ

จากพี่สาวคนโต ขอให้ครอบครัวน้องตุ้ยมีความสุขกาย มั่นคง เป็นกำลังใจในชีวิตของคนรอบข้างไปเรื่อยๆนะจ๊ะขอบคุณที่น้องตุ้ยดูแลทุกๆคนที่สามารถทำได้  จากเพื่อนโยคะคุณนิตยา (คำแปล) คุณรุจีและคุณซาเมียที่รัก ขอขอบคุณเป็นล้านๆ ดิฉันสำนึกบุญคุณของคุณทั้งสองมาก คุณทำให้ปีโควิด เป็นปีที่ดีที่สุดของดิฉัน ขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง

เดือนธันวาคม 2021

เดือนพฤศจิกายน 2021

เดือนตุลาคม 2021

เดือนกันยายน 2021

เดือนสิงหาคม 2021

วันที่ 4 กรกฎาคม 2021 วันชาติหรือวันประกาศอิสรภาพ อินดีเพ็นเด็นท์ เดย์

เดือนมิถุนายน 2021

หมอ Dr. Saad คนกลาง และลูกเพื่อนหมอมาเยี่ยมเราที่บ้าน หมอ Saad เป็นหมอที่ช่วยชีวิตสามีดิฉัน แกพบว่าสามีเป็นมะเร็งลำไส้เมื่อ 19 ปีที่แล้ว

เดือนพฤษภาคม 2021

เดือนมีนาคม 2021

เดือนกุมภาพันธ์ 2021

เดือนมกราคม 2021

ไว้อาลัย เดือน สิงหา และตุลา ปี 2021

สวัสดีปีใหม่ทุกๆคน stay healthy and happy นะคะ

ลิงเก็บมะพร้าว

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ดิฉันได้ฟังข่าวบริษัท “คอสโค่” (Costco) ห้างค้ายักษ์ใหญ่ราคาขายส่ง (คล้ายๆแม็กโคร บ้านเรา) ประกาศหยุดจำหน่าย “น้ำกะทิชาวเกาะ” หลังจากที่องค์กร “พีต้า” (PETA) องค์กรปกป้องสิทธิสัตว์ ออกรายงานว่า บริษัท เทพผดุงพรผู้ผลิตน้ำกะทิชาวเกาะ ซื้อมะพร้าวจากตัวกลางที่รับมะพร้าวจากชาวบ้านที่ใช้ลิงเก็บมะพร้าว ซึ่งถือเป็นการทารุณสัตว์ ปัจจุบันบริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัทได้หยุดจำหน่ายน้ำกะทิชาวเกาะเช่นกัน ความรู้สึกแรกเมื่อดิฉันได้ยินข่าวก็นึกว่า “เฮ้อ นี่คืออเมริกา !!” เลยเปิดอ่านหารายละเอียกมากขึ้น จึงพบว่า ประเทศ อังกฤษ ได้ “แบน” น้ำกะทิและผลิตภัณฑ์แปรรูปมะพร้าวของไทย รวม นมมะพร้าว น้ำกะทิ เนื้อมะพร้าว น้ำมันมะพร้าว แป้งมะพร้าว และผลิตภัณท์อื่นๆมาก่อนหน้าเราตั้งแต่เดือนกรกฏาคม


องค์กร “พีต้า”
องค์กร “พีต้า” ก่อตั้งในอเมริกาปี ค.ศ. 1980 ที่เมือง นอร์ฟอร์ค รัฐเวอร์จิเนีย (Norfolk Virginia) ชื่อเต็ม PETA ย่อมาจาก People for the Ethical Treatment of Animals แปลตรงตัวคือ ประชาชนเพื่อการฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีจริยธรรม ปัจจุบันมีสมาชิกมากกว่า 9 ล้านคนทั่วโลก สโลแกน (slogan) ขององค์กรคือ สัตว์ไม่ใช่การเอามาทำการทดลอง กิน นุ่งห่ม ฝึกแสดงละคร หรือ ทารุณกรรม แต่อย่างใด


ลิงเก็บมะพร้าวทารุณกรรมหรือไม่
ฝ่ายไทย กลุ่มทุนเกษตรกร ชาวไร่และชาวสวน แย้งว่า ธรรมชาติของลิงมันก็ปีนป่ายต้นไม้อยู่แล้ว ลิงอยู่คู่กับต้นมะพร้าวและเป็นตัวช่วยในการเก็บมะพร้าวตั้งแต่บรรพบุรุษมากว่า 100 ปี ฝรั่งดูถูกภูมิปัญญาคนไทย ลิงเก็บมะพร้าว เป็นวิถีชาวบ้านมากกว่าไม่ใช่เป็นการทรมานหรือทารุณสัตว์แต่อย่างใด
ตามกฎหมาย ภายใต้พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ลิงเป็นสัตว์สงวนเนื่องจากลิงเป็นหนึ่งในสัตว์ป่าคุ้มครอง ผู้ที่จะมีลิงในครอบครองจะต้องมีใบอนุญาตครอบครองสัตว์ป่า ลิง 6 ชนิดที่จัดอยู่ในความคุ้มครองภายใต้ พรบ คือ (1)ลิงกัง หรือลิงกังใต้ (2)ลิงลม หรือนางอาย (3) ลิงวอก (4) ลิงเสน (5) ลิงแสม และ (6)ลิงอ้ายเงี้ยะหรือลิงภูเขา


ลิงกังใต้ เป็นลิงเก็บมะพร้าว คนทางใต้จับลูกลิงกังใต้จากป่า มาเลี้ยงและฝึกให้ปีนต้นมะพร้าวเก็บลูกมะพร้าว ซึ่งตาม พรบ ถือว่าผิดกฎหมายถ้าไม่มีใบอนุญาติครอบครอง ธรรมชาติของลิงกังใต้ อาศัยอยู่ตามป่าดิบบริเวณเชิงเขา ชอบเปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อยไม่ค่อยอยู่เป็นที่ เป็นลิงที่มีสมาชิกในฝูงน้อยกว่าลิงชนิดอื่นๆจะมีไม่เกิน 40-45 ตัว บางตัวออกหากินตัวเดียวไม่รวมฝูง ลิงกังใต้ชอบลงมาอยู่ตามพื้นดินมากกว่าอยู่บนต้นไม้ แต่เวลานอนขึ้นไปนอนบนต้นไม้ ชอบส่งเสียงร้องและมักร้องรับกันทั้งฝูง มีอายุยืน 25 ปี

ลิงกังใต้

ฝ่ายองค์กร “พีต้า” จากการไปสืบสวนกรรมวิธีการใช้แรงงานลิงเก็บมะพร้าวในประเทศไทย องค์กรได้ข้อมูลมาว่า ชาวบ้านทางภาคใต้ไปจับลูกลิงจากป่า ตอนอายุระหว่าง 3-5 เดือนมาเพื่อฝึกให้ปีนขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บลูกมะพร้าว (ลิงที่จะใช้ฝึกเป็นอย่างดีอยู่ในช่วงอายุไม่เกิน 3-5 เดือน และเป็นตัวผู้เนื่องจากตัวใหญ่และมีแรงมากกว่าลิงตัวเมีย) ลูกลิงถูกพัดพรากจากพ่อแม่ ลูกลิงจะถูกขังอยู่ในกรงแคบๆพอตัว และใส่ปลอกคอล่ามเชือ ดูรูป องค์กรพีต้ามองในแง่ว่า เมื่อลิงถูกจับมาเลี้ยงตามบ้าน เท่ากับลิงหมดอิสระภาพในการที่จะโหนต้นไม้ ปีนป่าย กับสมาชิกในฝูงลิง ซึ่งเป็นตามธรรมชาติของลิงป่า ลิงกังใต้เป็นลิงที่ฉลาดมาก เมื่อลิงถูกผูกเชือกหรือล่ามโซ่ให้อยู่กับที่ ลิงเดินวนไปวนมาอย่างไม่รู้จบ บนหย่อมดินที่เต็มไปด้วยขยะ ทำให้ลิงค่อยๆเสียสติไปจนหมดหวัง กรณีถ้าเจอลิงดุ เจ้าของจะถอนฟังลิงออกเพื่อไม่ให้กัด นอกจากนั้นเมือลิงไม่ถูกบังคับให้ปีนเก็บลูกมะพร้าว ลิงถูกฝึกให้เล่นละครลิง เหล่านี้ทางองค์กร “พีต้า ถือว่า เป็นการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างไม่มีมีจริยธรรม

“พีต้า”กล่าวว่า ผู้มีเมตตาต่อสัตว์เลือกไม่ดื่มนมวัว เพราะเกษตรกรที่ผลิตนมวัว ต้องให้วัวตัวเมียผสมพันธ์และท้องบ่อยๆเพื่อจะได้รีดนมวัวได้มากขึ้น ฉะนั้นผู้มีเมตตาต่อสัตว์เลือกดื่มนมมะพร้าวและนมพืชแทน เช่นนมถั่วเหลือง หรือนมอัลมอนด์แทนที่จะดื่มนมวัว ไม่กินผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เนื่องจากการปฏิบัติต่อสัตว์ไม่มีจริยธรรม


ทั้งสองฝ่ายมีความคิดเห็นต่างกัน แล้วแต่คุณจะฟังฝ่ายไหน มุมมองของคนไทยถือว่าการฝึกลิงเก็บมะพร้าว เป็นภูมิปัญญาคนไทยเป็นวิถีชาวบ้านไม่ถือเป็นการทรมานหรือทารุณสัตว์ แต่ในแง่องค์กร “พีต้า” ผู้เมตตาสัตว์ ถือว่าการใช้แรงงานลิง ฝึกลิงเก็บมะพร้าวและเล่นละครลิงถือเป็นการทารุณสัตว์ สำหรับดิฉัน สิ่งที่ทนไม่ได้สุดๆ คือ“ละครลิง”สงสารลิงมากที่ถูกนำมาแต่งหน้าเสียเลอะเทอะ เพื่อให้ผู้ชมหัวเราะ ทำให้ลิงไร้ศักดิ์ศรีจริงๆ

โรงเรียนผู้ใหญ่ หรือ ADULT SCHOOL

วันนี้คุยเรื่อง หาความรู้ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาอยู่ในอเมริกาใหม่ๆหรืออยู่ในอเมริกามานานแต่ไม่ได้ก้าวหน้าไปไหน เพราะติดกับ “จ๊อบ” แรกที่คุณได้ทำตั้งแต่เริ่มต้น คุณมีโอกาสหาความรู้เพิ่มในสิ่งที่คุณชอบ คุณสามารถเข้าเรียน “โรงเรียนผู้ใหญ่” หรือ “อดั๊ลท์ สกูล” (Adult school) ไม่ว่าคุณจะอยู่เถื่อนในอเมริกาหรืออยู่อย่างถูกต้อง ดิฉันจะเห็นลูกความหลายคนที่พอเข้ามาถึงอเมริกาก็รีบหางานทำ งานแรกก็คือร้านอาหารไทย เสริฟหรือทำงานในครัว เมื่อคุณเข้าทำร้านอาหารไทยปุ๊บเท่ากับปิดโอกาส ที่จะออกหางานอื่นที่คุณเรียนจบมา เพราะงานร้านอาหารไทยชั่วโมงยาว 10-12 ชั่วโมงต่อวัน กลับบ้านก็หมดแรง

ที่มาของโรงเรียนผู้ใหญ่

“อดั๊ลท์ สกูล” เป็นโรงเรียนสำหรับผู้ใหญ่ (อายุเกิน 16 ปีขึ้นไป) มีทั่วทุกรัฐ และทุกเขต ใกล้เขตที่ดิฉันอยู่ ABC Adult school โรงเรียนผู้ใหญ่ได้รับเงินกองทุนหนุนจากรัฐบาลกลาง (Federally Funded Adult Education and Family Literacy Programs) เพื่อช่วยให้ผู้ใหญ่และครอบครัวรู้หนังสือ ดิฉันคิดว่าจุดประสงค์เบื้องต้น มีหลักสูตรช่วยเด็ก (อาจเป็นเด็กที่ยากจนหรือเด็กที่ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว) ที่เรียนไฮสกูลไม่จบ หรือผู้ใหญ่คนต่างด้าวที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้  หลักสูตร 3 คอร์สหลักคือ (1) หลักสูตรช่วยให้เด็กสอบผ่านและได้รับประกาศนียบัตรจบไฮสกูล (2) คลาสสอน “ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง” เรียกย่อว่า “อี เอ็ส แอล” (ESL ย่อมาจาก English as a second language) และ (3) คลาส เตรียมตัวสอบซิติเซ่น

หลักสูตรและวิชาเรียน

ปัจจุบัน “อดั๊ลท์ สกูล” มีคอร์ส หลักสูตร มากมาย ที่เรียนจบและได้ประกาศนียบัตรเมื่อจบสามารถทำงานได้ เช่น  วิชาชีพต่างๆเช่น คอมพิวเต้อร์ เท็คโนโลยี (computer technology) ช่างแก้คอม  วิชาพยาบาล (nursing) ผู้ช่วยทันตแพทย์ (dental assistant) ผู้เขี่ยวชาญด้านบิลและเก็บเงิน (billing specialist) ผู้เตรียมภาษี (tax preparation) และคลาสที่มีประโยชน์ต่างๆ เช่น ภาษาสแปนิช (Spanish) ภาษาสแปนิชเป็นภาษาที่สองของอเมริกา วิชาช่างต่าง เช่น  ช่างทำผม จัดดอกไม้ ทำขนม เย็บผ้า ตัดเสื้อผ้า และทางด้าน ฟิตเนส (fitness) เต้นอโรบิค พิลาเต้ โยคะ เต้นรำบอลรูม เป็นต้น ถ้าคุณเรียน คอร์ส วิชาชีพและคอร์สที่เป็นหลักสูตรจบ คุณจะได้รับประกาศนียบัตร และทางโรงเรียน มี job placement ที่ช่วยแนะนำบริษัทที่เปิดรับสมัครงานต้องการผู้จบวิชาชีพต่างๆ

เวลาและชั่วโมงเรียน

เนื่องจากเป็นโรงเรียนผู้ใหญ่ คุณเรียน “พาร์ท ไทม์” มีทั้งภาคเช้าและภาคค่ำ ชั้นเรียนมีให้เลือกมาก ขึ้นอยู่กับถ้าคุณเรียนต้องการประกาศนียบัตร ก็จะเรียนหลายเทอม แต่ละคลาส 3 ชั่วโมง 2 วันต่อสัปดาห์ นอกจากคลาสช่วง “ซัมเม่อร์”

ค่าเล่าเรียนและลงทะเบียน

ในคาลิฟอร์เนียตอนใต้ ค่าเทอมๆละ $40 คุ้มสุดๆ เปิดเรียนเป็นเทอม “ไทรเมสเต้อร์” (trimester) 3 เทอมต่อปี หรือ “ควอร์เต้อร์” (quarter) 4 เทอม ต่อปี ถ้าคุณสนใจโปรดคลิกเข้าไปหา adult schools near me คุณสามารถลงทะเบียน ออนไลน์ หรือ เดินเข้าไปลงทะเบียนที่โรงเรียนได้วันที่เปิดเทอม หรือ ภายในสัปดาห์แรก

ความรู้ที่ดิฉันได้จาก“อดั๊ลท์ สกูล”

ตั้งแต่ดิฉันมาอยู่อเมริกาดิฉันเข้าเรียน “อดั๊ลท์ สกูล” 3 ครั้ง ซึ่งได้ความรู้ติดตัวมาทุกคลาส 

ครั้งแรกคือ  ปีแรกที่มาอยู่อเมริกา คลาสภาษาอังกฤษ“อี เอ็ส แอล” (English as a second language) 1 เทอม ดิฉัน ยอดเปิ่น จำได้ว่านักเรียนต่างชาติคนหนึ่งคุยเรื่องของเขาให้ฟังและบอกว่า “I am mad” ดิฉันรู้แต่ว่า mad แปลว่า “บ้า” คิดว่าทำไมเธอจึงพูดว่า “เธอเป็นบ้า” มารู้ทีหลังว่า mad แปลว่า “บ้า” หรือ “โกรธ” 

ครั้งที่สองคือ ภาษา“สแปนิช” โดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อ 4 ปีที่แล้วปี 2017 เห็นป้ายหน้าโรงเรียน “อดั๊ลท์ สกูล” ว่ามี คลาส “แอนนาโตมี่” (anatomy)  หรือสรีระร่างกาย ดิฉันอยากหาความรู้เพิ่มเกี่ยวกับสรีระ เนื่องจากสอนโยคะ จึงเข้าไปลงทะเบียน จ่ายตังเสร็จ ทางโรงเรียนบอกว่าคลาสนี้เป็นหลักสูตรของคอร์ส พยาบาล ต้องเรียนหลายเทอม ไหนๆก็อยู่ตรงนั้นแล้วดิฉันเลยถามว่ามีคลาสอะไรบ้าง เขาบอกมี “สแปนิช” สนไหม ดิฉันก็โอเค คิดว่าลองเรียนดูสักเทอม ปรากฎ ณ. วันนั้นถึงวันนี้ 4 ปี ดิฉันเรียนสแปนิชมาถึงปัจจุบันนี้ เอาว่าไปเที่ยวเสปนคราวนี้พูด และอ่านได้ อาจฟังเข้าใจลำบากหน่อยเพราะคนท้องถิ่นพูดโคตรเร็ว

ครั้งที่สาม คือ เมื่อ 2 ปีที่แล้วปี  2019 ระบบยื่นเคสอิมมิเกรชั่น มีการเปลี่ยนแปลง เราต้องส่งเอกสารเข้า วีซ่าเซ็นเต้อร์ออนไลน์ แทนที่จะส่งทางไปรษณีย์อย่างที่เคย ดิฉันก็ทุลักทุเลอยู่นาน ตัดสินใจไปเรียน คลาส วิชา computer essential  “อดั๊ลท์ สกูล” ครูสแปนิชดิฉันสอนคลาสนี้ ด้วย เลยสบาย แกช่วยดิฉันมาก

โรงเรียนที่ดิฉันเรียนปัจจุบัน                               
ในห้องเรียน (ของคนอื่น)

ช่วงโควิด คนตกงานเยอะ เป็นโอกาสดีถ้าคูณจะลองเช็ค “อดั๊ลท์ สกูล” ดูนะคะ อาจเจอวิชาชีพที่คุณถนัดหรือมีแบ็คกราวนด์มาก่อน หรือเพื่อหาความรู้เพิ่ม การเรียนหาความรู้ไม่มีการสิ้นสุดค่ะ ถือเป็นความสำเร็จหรือ“แอ็คคอมพลิช” (accomplish) ในชีวิตอย่างหนึ่ง ในอเมริกาไม่มีใครดูถูกค่ะว่าคุณเรียนหนังสือที่ไหน ขึ้นอยู่กับคุณจะนำความรู้นั้นไปใช้อย่างไร